Posted On
Monkey’s Kitchen อาหารฟิวชั่น โดยเชฟฝีมือดี การันตีระดับโลก
ด้วยส่วนตัวน้าอ้วนมีความภูมิใจนำเสนอร้านนี้มากๆ โดยก่อนที่น้าอ้วนจะได้มารีวิวที่ร้านแห่งนี้ ส่วนตัวแล้วเคยมาทานที่ร้านนี้ (สมัยตอนที่อยู่ร้านเดิม) มาก่อนแค่ไปครั้งแรกก็ประทับใจแล้วครับ และจำได้ว่าร้านนี้เคยไปถึง 2 ครั้งด้วยกัน (ในแบบส่วนตัวนะครับ) อีกอย่างคือร้านนี้ประวัติของเขามีอะไรให้พูดถึงเยอะมาก โดยเฉพาะตัวเชฟเอง ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งเลยทีเดียว เชฟเมย์ ซึ่งเป็นเชฟใหญ่ที่นี่เธอมีประสบการณ์ด้านอาหารมายาวนาน ไปแข่งขันการทำอาหารระดับภูมิภาค ระดับประเทศ หรือแม้แต่ระดับโลก ก็ได้รับรางวัลกลับมามากมาย จนที่ร้านไม่รู้จะเอาเหรียญ เอาถ้วยรางวัลหรือใบประกาศไปห้อยไว้ที่ไหนแล้ว ดังนั้นจึงเป็นข้อการันตีได้เลยครับว่า ร้าน Monkey’s Kitchen by Monkey Chef แห่งนี้มาแล้วจะไม่ผิดหวัง
ชื่อร้าน : Monkey’s Kitchen by Monkey Chef เชียงใหม่
ที่อยู่ : โครงการ 41 Park ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.787515,98.963239 (แผนที่จาก Google Map)
ติดต่อ : 080 505 1132, https://www.facebook.com/monkeyskitchen.cm
เวลาเปิด-ปิด : สองช่วง 11:00 – 14:30 น. และ 17:00 – 22:00 น. ปิดวันจันทร์
เมื่อก่อนร้าน Monkey’s Kitchen เขาเคยอยู่บริเวณหลังมอชอ (ซอยแจ่มฟ้าพลาซ่า) ประมาณปีหนึ่งได้ครับใครที่เคยไปชิมที่ร้านตอนนี้ถ้าไปหาแล้วก็คงไม่เจอแล้วครับ เพราะว่าตอนนี้เขาย้ายมาอยู่ในโครงการ 41 Parkถนนสนามบินเก่า เส้นหลังกองบิน 41 เป็นโครงการที่รวมร้านอาหารอร่อยๆ มากมายครับ ซึ่งน้าอ้วนเคยรีวิวไปแล้วหลายร้านอยู่เหมือนกัน
สำหรับบรรยากาศ ถ้าเราเปรียบเทียบระหว่างร้านเดิม กับร้านใหม่ น้าอ้วนว่าร้านใหม่จะดีกว่า เพราะร้านเก่าด้วยข้อจำกัดของสถานที่เลยทำให้รู้สึกแออัดไปสักนิด ยิ่งตอนที่ลูกค้าแห่กันมา (ตลอดเวลา) จะแน่นกันมาก ดังนั้นทางร้านก็เลยตัดสินใจย้ายมา และได้สถานที่ใหม่ซึ่งใหญ่กว่าเดิม บรรยากาศด้านล่างจะเป็นห้องแอร์เย็นสบายครับมีโต๊ะไว้บริการลูกค้าอยู่หลายตัวเลยทีเดียว
ส่วนด้านบนจะเป็นห้องพัดลมนะครับ จะตกแต่งสไตล์ออกแนวหรูหราเล็กน้อย
ที่สำคัญที่นี่เขาจะมีพื้นที่พิเศษด้วย น้าอ้วนขอใช้คำว่า Terrace นะครับ เพราะจุดนี้ทางร้านจะไม่จัดโต๊ะเป็นปกติจะใช้สำหรับโอกาสสำคัญเท่านั้น เช่นวันครบรอบ วันเกิด หรือโอกาสพิเศษต่างๆ โดยความพิเศษของจุดนี้จะมีแค่โต๊ะเดียว ซึ่งจะออกแนว Private ช่วงเย็นสามารถมองเห็นวิวของดอยสุเทพตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้ด้วยพร้อมทั้งความพิเศษในส่วนของอาหาร โดยเชฟเมย์จะบรรจงปรุงอาหารทุกขั้นตอนเพื่อโต๊ะนี้โดยเฉพาะเท่านั้น(สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทางร้านโดยตรง … ขอบคุณเชฟเมย์และคุณต้าร์ที่ให้เกียรติมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในวันนี้ 🙂 )
และสำหรับโซนด้านนอกร้าน โซนนี้ทางเชฟเมย์มีโปรเจ็คในช่วงฤดูหนาว จะเปลี่ยนโซนนี้ให้เป็นโซน BBQ นั่งทานอาหารข้างๆ น้องโชคดี (Mascot ประจำร้าน) คงได้บรรยากาศดีไม่น้อยเลย
สำหรับใครที่ต้องการจะมาทานอาหารที่ร้านนี้ น้าอ้วนแนะนำให้โทรจอง หรือจองผ่าน Facebook (โทรจองจะชัวร์ที่สุด) เสียก่อนและทำการเลือกเมนูอาหารไว้ล่วงหน้า แล้วนัดวันเวลาที่จะเข้ามาให้แน่นอน เพราะอาหารที่นี่ทุกจาน เขาทำกันสดๆ Homemade กันสุดฤทธิ์ แน่นอนว่าของที่ทำกันสดๆ ย่อมจะช้าเป็นธรรมดา ดังนั้นถ้าใครมาแบบหิวๆ แล้วไม่ได้สั่งอาหารล่วงหน้าไว้ น้าอ้วนว่ารับรองมีโมโหนิวแน่นอน และถ้าคิดว่าจะ Walk In เข้ามาระวังจะมาเสียเที่ยวนะจ๊ะ
เมนูอาหารเขาทำได้อลังการมากครับ ดูดีสุดๆ ซึ่งข้างในก็จะมีรายการอาหารทุกชนิดไว้ให้ลูกค้าได้เลือก ในเมนูก็จะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะได้ง่ายในการทำความเข้าใจทั้งคนไทยด้วยกันเอง หรือชาวต่างชาติ
มาถึงจุดที่น้าอ้วนเริ่มเครียดแล้วครับ … เครียดเพราะอะไรหนะเหรอ ก็เพราะว่าอาหารที่เราได้ทำการรีวิวในวันนี้ ขอการันตีได้เลยว่าทุกเมนูอร่อยทุกอย่าง อีกทั้งหน้าตาและการตกแต่งสวยงามมาก และวันนี้เราได้รับเกียรติจากทางเชฟเมย์เป็นคนช่วยอธิบายถึงอาหารต่างๆ ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง กรรมวิธีในการปรุง รวมไปถึงเรื่องราวของอาหารแต่ละชนิด ซึ่งเชฟอธิบายได้ลึกล้ำมาก บางอย่างน้าอ้วนก็พยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ไปไม่ถึงแก่นแท้สักเท่าไร ๕๕๕ ดังนั้นการรีวิวในครั้งนี้เราจะใช้รูปแบบของการเล่าเรื่อง ใช้ภาษาแบบง่ายๆ เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงอาหารแต่ละอย่าง อย่างง่ายๆ เราคงไม่ต้องใช้ศัพท์ทางเทคนิค หรือข้อมูลเชิงลึกอะไรมาก เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างลึกล้ำและซับซ้อน ๕๕๕๕
ขอเริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยกันก่อนนะครับ จานแรกคือสลัดอกเป็ดรวมควัน ตอนที่เสิร์ฟมาเขาจะมีครอบแก้วมา 1 อันครอบมาอย่างสวยงาม พร้อมกับการรมควันด้านในเรียบร้อย เวลาเปิดออกมาก็จะมีเอฟเฟ็คของควันกระจายออกมาครับ เสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดสูตรเฉพาะของทางร้าน ในจานก็จะมีสลัดผักออแกนิคอย่างดีพร้อมทั้งอกเป็นรมควันที่รสชาติดี และส้ม เมื่อทานไปแล้วรสชาติมันตัดกันได้ลงตัวมากๆ และขอบอกว่าจานนี้เพิ่งได้รางวัลชนะเลิศเหรียญทอง จากการแข่งขันที่พัทยา เมื่อไม่นานมานี้)
จานที่สอง Salmon Carpiccio ขอออกตัวก่อนว่าส่วนตัวแล้วน้าอ้วนจะไม่ค่อยชอบอาหารแนว Carpaccio สักเท่าไร เพราะมันจะเป็นอะไรที่แล่มาบางๆ มันประมาณว่าเวลากินมันไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไร บางร้านก็แร่ซะบางเฉียบ แทบจะมองทะลุได้ แต่ที่นี่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าถึงแม้มันจะเป็น Carpiccio แต่เวลาที่ตักเนื้อแซลมอนเข้าปากแล้วมันยังรู้สึกได้ถึงคำว่า “เต็มปากเต็มคำ” พร้อมทั้งน้ำจิ้มสามรสสูตรพิเศษของทางร้าน มันทำให้อาหารจานนี้รสชาติลงตัวมากๆ (สูตรเด็ดของจานนี้คือ เนื้อปลาแซลมอนทุกจานที่นำมาเสิร์ฟในเมนูนี้ เชฟจะทำการดีฟรีซ (De-Freeze คือการละลายน้ำแข็ง) แล้วเสิร์ฟทันที ซึ่งจะทำให้เนื้อปลามีความสด แน่น และอร่อยมาก)
เมนูเรียกน้ำย่อยจานต่อมาชื่อว่า Winter Shrimp หรือกุ้งฤดูหนาวนั่นเอง ถ้ามองด้วยตาเปล่าแบบไทยๆ ก็อาจจะคิดว่าเป็นกุ้งพันเส้นหมี่ แต่ก็ถูกแต่ไม่ทั้งหมดครับ เส้นหมี่ที่คุณเห็นนั่นมีชื่อว่า Shreded Pastry Dough เป็นเส้นหมี่ที่นำเข้าจากออสเตรเลีย มีคุณสมบัติเรื่องของความกรอบได้ดี (ซึ่งเส้นหมี่ของไทยเราอายม้วนไปเลย) เสิร์ฟพร้อมกับซอสมายองเนสวาซาบิ ที่กลิ่นไม่จัดจ้าน รสชาติของเนื้อกุ้งที่สดกรอบ ทานพร้อมกับเส้นหมี่ที่นำเข้าจากออสเตรเลียแล้วก็จิ้มกับ Dipping Sauce ด้วยรสชาติของทั้งสามอย่างนี้ลงตัวไปหมด
เมนูเรียกน้ำย่อยจานสุดท้าย …. ชื่อว่า Japanese Curry Croquette ชื่ออ่านยากซะเหลือเกิน ง่ายๆ เลยมันคือมันฝรั่งที่ปรุงรสด้วยเครื่องแกงกะหรี่แล้วนำไปชุมแป้งทอด เสิร์ฟพร้อมซอสมายองเนสวาซาบิ เอาความเป็นฝรั่งมาฟิวชั่นกับญี่ปุ่น เนื้อของมันฝรั่งบดเนียนมาก พอเอาไปคลุกเค้ากับเครื่องแกงกะหรี่ยิ่งทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นเวลาทานก็จิ้มซอสวาซาบิซะเล็กน้อย (แต่กลิ่นซอสวาซาบิไม่ฉุนครับ จะมีกลิ่นเล็กๆ) บอกเลยใครชอบมันบดชอบแกงกะหรี่ เมนูนี้ต้องกรีสสลบ
มาถึงของจริง ตัวจริงกันเสียที ชื่ออย่างเป็นทางการที่แสนจะอลังการถ้าอยากจำได้ เชื่อว่าต้องเอาไปท่องกันสองวันสองคืนเลยทีเดียว Angel Hair With Edible Flower Basket And Australian Beef Tenderloin Khao Soi Sauce พูดกันง่ายๆ ภาษาบ้านๆ ก็คือข้าวซอยเนื้อสันในออสเตรเลีย จุดเด่นที่น้าอ้วนชอบก็คือเขาใช้เส้นสปาเก็ตตี้แบบ Angle Hair ซึ่งจะเป็นเส้นเล็กๆ จะทำให้การรับรสชาติของเครื่องปรุงหรือน้ำซุปทำได้ดี เขาจะเสิร์ฟกับตระกร้าดอกไม้ทอดที่กินได้นะ อร่อยด้วย และน้ำข้าวซอยที่มีเนื้อสันในที่นุ่มมากบอกเลยว่าฟินจริงๆ น้ำข้าวซอยก็เข้มข้นสไตล์เหนือแท้ๆ พอเราราดน้ำข้าวซอยลงไปจนหมดแล้วมันจะมีลักษณะขลุกขลิก จะไม่ได้ท่วมเส้นเหมือนข้าวซอยบ้านเรา ซึ่งแบบนี้จะเป็้นการทานแบบอิตาเลียนแท้ (คนอิตาเลียนจะไม่นิยมอาหารที่น้ำแกงท่วมเส้น จะชอบแบบขลุกขลิก)
อาหารที่เรียกความฮือฮาให้กับทีมงานได้อย่างพร้อมเพียงกัน ก็คือ Traditional BBQ Pork Rib (American Style) ใช่ว่าเชฟที่นี่จะถนัดแต่อาหารยุโรปนะจ๊ะ อาหารสไตล์อเมริกันเขาก็ทำได้ เพราะเชฟเมย์เคยไปทำงานอยู่ที่อเมริกามาก่อน ได้เก็บเกี่ยว ซึมซับวัฒนธรรมการกิน รูปแบบการทำอาหารของชาวอเมริกันมาอย่างมากมาย บอกได้คำเดียวว่าเนื้อนุ่มมากกกกก เนื้อแทบจะร่อนออกจากกระดูก ยิ่งถ้าชิ้นไหนมีมันแทรกด้วยหละก็ มันจะยิ่งทวีความนุ่ม มัน และอร่อยเข้าไปเป็นเท่าตัว ลืมบอกไปว่าเสิร์ฟพร้อมกับมันฝรั่งทอดที่ทางร้านทำเองไม่ได้ไปซื้อเฟร้นฟรายด์สำเร็จรูปที่ไหนแต่อย่างใด เพราะอาหารที่นี่ทุกอย่าง (ยกเว้นพวกเครื่องปรุงรสสำเร็จรูป) เขาทำเองหมดครับ
Manhattan Chowder Penne เป็นพาสต้าเส้นเพนเน่ซอสมะเขือเทศใส่ซีฟู๊ด … รสชาติของมะเขือเทศเด่นออกมาเลยครับ ส่วนเส้นเพนเน่ก็ลวกได้กำลังดี จุดเด่่นของจานนี้น้าอ้วนว่ารสชาติของซอสมะเขือเทศที่กลมกล่อมกำลังดี ไม่ได้เปรี้ยวจี๊ดโดดเด่นจนทำให้กลบรสชาติของอย่างอื่น ส่วนพวกกุ้ง หอย และหมึก สดมาก ๆ มันจึงเป็นจุดเด่นทำให้อาหารจานนี้อร่อย
อ่ะ …. แล้วเราก็มาถึงจานเด่น ถ้าเป็นในวงการแฟชั่นโชว์ เขาจะเรียกว่า จานนี้เป็นชุดฟินาเล่ (Finale ที่เราชอบพูดกันว่าฟิน นั่นแหละ) เพราะเขาจะเอามาเป็นตัวเด่นเป็นชุดปิดท้ายงาน จานนี้เขาชื่อว่า Hiso Platter ชื่อก็บอกแล้วว่าไฮโซ จะไม่ให้ไฮโซได้ไงหละ รู้ไหมว่ามีอะไรอยู่บนจานนี้บ้าง ซึ่งได้แก่ … เนื้อสันในจากออสเตรเลีย (Australian Tenderloin) ซึ่งตอนเสิร์ฟมาจะพันด้วยเบคอนวางบนมันฝรั่งบนราดน้ำเกรวี่ (ที่เคี่ยวจากหม้อใหญ่ๆ เหลือเพียงกระปุกเล็กๆ เคี่ยวกันสามวัน สามคืน … ไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่เชื่อไปถามเชฟที่เขาทำอาหารร้านดังๆ สิว่าการทำน้ำเกรวี่ หรือน้ำซอสที่เด่นๆ เขาจะเคี่ยวจากหม้อใหญ่ๆ ให้เหลือเพียงแค่กระปุกเดียว ใช้แก๊สกันเป็นถังๆ) ตอนที่น้าอ้วนจะหั่นเนื้อขอบอกเลยว่าแทบจะไม่ต้องออกแรงเลย แค่ขยับมีดมันก็หั่นเหนื้อให้แยกออกจากกันได้ เพราะว่ามันนุ่มมาก เอาเข้าไปแทบจะละลายในปาก (ถ้าคิดว่าพูดเวอร์ พรุ่งนี้ไปร้านนี้เลยนะ แล้วสั่งมา 1 จานพิสูจน์ด้วยตนเองเลย หึหึ)
ชิ้นที่สองตับห่าน (Foie Gras) น้าอ้วนเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับตับห่าน แต่พอมาได้ลองทานที่ร้านนี้แล้วชิ้นตับห่านเขาย่างได้สุกกำลังดี พร้อมทั้งราดด้วยซอสเบอรี่ และพริกหวานเชื่อม ซึ่งเวลาทานชิ้นตับห่านแล้วจิ้มซอสสองตัวนี้ด้วยแล้วมันทำให้รสชาติมันไม่เลี่ยน รสชาติของความขมนิดๆ มันทำให้ช่วยชูรสชาติของตับห่านชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดี สุดยอดอ่ะ
สุดท้ายเป็นเนื้อแกะจากออสเตรเลีย (Australian Lamb Rack) เนื้อแกะนุ่มมากและราดน้ำซอสเกรวี่ที่รสชาติอร่อย ทำให้เนื้อแกะชิ้นนี้เป็นชิ้นที่สุดยอดเป็นอันดับต้นๆ ที่น้าอ้วนเคยได้ชิมมาเลย
ทีจริงแล้วเชฟจะปิดท้ายเจ้า Hiso Platter เป็นจานสุดท้ายของ Main Course แต่ด้วยนิสัยปากพาอิ่มของน้าอ้วน ลองถาม Caesar Salad ของทางร้านไป ปรากฎว่าเชฟเมย์เขาใจดีเลยจัด Caesar Salad มาให้ 1 จาน น้าอ้วนเคยมาทาน Caesar Salad ของร้านนี้หลายครั้ง (มาทีไรเมนูที่จะไม่พลาดสั่งก็คือเจ้านี่) ด้วยเอกลักษณะเฉพาะตัวของทางร้านเลยทำให้สลัดจานนี้ออกมาไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่ใช่ว่าเชฟจะขี้เกียจหั่นผักแต่อย่างใด ผักจะเสิร์ฟมาในลักษณะของหั่นครึ่งในแนวขวาง ราดด้วยน้ำสลัดที่เป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน เสิร์ฟคู่กับไข่ลวก และแฮมย่าง มีที่ไหนที่ทำสลัดกับไข่ลวก ใช่ว่าเห็นหน้าตาแปลกๆ แล้วอะไรก็ไม่รู้แบบนี้แล้วมันจะไม่อร่อยนะกลับตรงกันข้าม จานนี้คะแนนเต็ม 100 น้าอ้วนให้ 300 คะแนน โอเค จบป่ะ?
มาถึงคิวของหวานบ้างนะครับ เราอิ่มของคาวกันไปแล้ว เริ่มจานแรก Strawberry Granita with Natural Yoghurt จะเป็นลักษณะของน้ำแข็งเกร็ดรสสตรอเบอรี่เสิร์ฟพร้อมกับโยเกิร์ตด้านล่าง รสชาติของเกร็ดน้ำแข็งจะบอกว่าเป็นอะไรที่เข้มข้นมาก ยังคุยกันอยู่ว่าเขาเอาแยมสตรอเบอรี่ไปแช่แข็งแล้วเอามาปั่นเหรอ? รสชาติถือว่าได้สุดยอดมากๆ ครับ
ของหวานจานที่สองคือ Mango Pudding with Milk Granita มันคือพุดดิ้งมะม่วง บอกเลยว่ารสชาติของมะม่วงเต็มๆ เพราะก้อนพุดดิ้งที่เห็นสีเหลืองๆ นี่คือเนื้อมะม่วงทั้งนั้นไม่มีการเจือจางใดๆ ทั้งสิ้น เสิร์ฟพร้อมกับน้ำแข็งนมเกร็ดหิมะ รสชาติสุดยอด
เมนูใหม่ที่เพิ่งปรากฎตัวบนหน้าเพจของ Monkey Kitchen เมื่อไม่นานนี้ คือ Baked Alaska จะเป็นลักษณะของเมอร์แรงไข่ขาวที่เอาไปอบจนสุกกำลังดี ด้านในจะแทรกด้วยบราวนี่และไอศครีม ตอนเสิร์ฟก็ราดด้วยซอสบลูเบอรี่ หรือซอสสตรอเบอรี่แล้วแต่คนชอบ จะบอกว่ามันเป็นอะไรที่ตื่นตาตืนใจมาก โดยการเอาไอศครีมไปอบในตู้อบด้วยอุณภูมิสูงๆ (ถ้าไม่สูงเมอร์แรงด้านนอกจะไม่สุก) แต่ไอศครีมยังเป็นก้อนไม่ละลาย รสชาตินี่สุดยอดครับ ต้องไปลองดูนะ
สุดท้ายสำหรับวันนี้ Fresh Teramisu เป็นทีรามิสุสูตรเด็ดที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน ซึ่งทางร้นาจะใช้แป้งขนมปังแบบ Lady Finger ซึ่งจะมีลักษณะเป็นขนมปังที่มีโพรงมีจุดเด่นในด้านของการดูดซึมน้ำกาแฟ ได้ดีพร้อมทั้งครีมที่ใช้มีเนื้อที่แน่น เวลาทานไปแล้วจะไม่มีคราบที่ปาก ที่ร้านนี้เขาจะไม่ใช้น้ำเชื่อมนะครับ จะใช้เป็น Espresso + Caribbean Rum ต้องไปลองชิมดูครับแล้วจะติดใจมากๆ
ปิดท้าย เพิ่มความสดชื่นด้วยเครื่องดื่ม Mocktail ไร้แอลกอฮอล์ กับ Monkey’s Mojito และ Virgin Kamikaze สดชื่นเจอตำรวจไม่โดนจับ อิอิ
เป็นร้านอาหารที่น้าอ้วนภูมิใจนำเสนอมากมาย ด้วยรสชาติและวัตถุดิบที่เรียกได้ว่าชั้นเลิศ ที่เชฟได้นำมาปรุงแต่งเป็นอาหารทุกจานให้ลูกค้าได้ทานกัน ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอด รางวัลต่างๆ ที่เชฟเมย์ได้รับมา ถือว่าเป็นเครื่องการันตีถึงฝีมือของ Monkey’s Kitchen ได้เป็นอย่างดี วันนี้เชฟเมย์จัดเซ็ทเมนูที่เด่นๆ ให้ทาน ใช่ว่าตัวเด่นของร้านจะมีเพียงเท่านี้นะครับ ยังมีอีกหลายเมนู ซึ่งบางตัวน้าอ้วนได้เคยชิมมาแล้วเช่นเกี๊ยวห่อชีส หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบชีส ปลาธงทอง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นเมนูที่รสชาติดีทั้งนั้น ไปครั้งแรกยังติดใจ เลยต้องไปครั้งที่สอง และครั้งนี้ได้จัดเต็มเซ็ทขนาดนี้ ยิ่งทำให้ตอกย้ำความอร่อยของร้าน Monkey Kitchen ได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญขอย้ำกันอีกสักนิด ถ้าอยากมาลองลิ้ม ชิมรส อาหารฟิวชั่น เลิศรสแบบนี้ ต้องโทรจองกันสักนิด แล้วสั่งเมนูอาหารไว้ก่อนได้ เพื่อที่ว่ามาแล้วจะไม่ต้องได้คอยนาน และถ้า Walk In มา ระวังจะเสียเที่ยวนะครับ เพราะร้านนี้เขาเต็มตลอด
RELATED POSTS
-
Favola – Taste of Italian บุฟเฟ่ต์อาหารอิตาเลียนสุดอลังการ เดือนละครั้งที่ Le Meridien Chiang Mai
-
น้ำแข็งใสเกล็ดหิมะ ท๊อปปิ้งด้วยชาเขียวมัจฉะ และอีกหลากหลายรสชาติที่ท้าให้ไปลองที่ร้าน SAKAMOTOYA
-
นิมมาน คัตสึ พร้อมสรรพฉบับญี่ปุ่น อีกหลากหลายเมนูสไตล์แดนปลาดิบแท้ ที่อยากให้มาลอง
-
Tokyo Yakiniku ปิ้งย่างแท้ๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น
-
สดจนต้องตกใจ!! อาหารทะเลสดๆ ในร้านก๋วยเตี๋ยว ที่ทั้งแซ่บและดี ท้าให้ลองที่ เตี๋ยวข้าเจ้า
-
อยากจัดหนักแบบราชา หรืออิ่มอร่อยง่ายๆ แบบสามัญชน หลากหลายเมนูอาหารญี่ปุ่นชั้นยอด มีเสิร์ฟที่ Minato Sushi & Seafood Bar นิมมาน 9
-
นั่งจิบเบียร์เย็นๆ หรือกาแฟแก้วโปรด ดูพระอาทิตย์ตกดินเพลินไปกับทะเลสาบสวยๆ ที่ ภูฟิน อิน เดอะ เลค
เคยไปกินตอนร้านยังไม่ย้ายอร่อยมากครับ