Posted On
Hyde Park Residence โรงแรมน้องใหม่พร้อมสรรพทั้งห้องพัก และอาหารชั้นดี บริการดีระดับห้าดาว

ล่าสุดได้แวะเวียนไปริวิวโรงแรมหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นโรงแรมน้องใหม่ของเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ เพิ่งเปิดทำการได้ไม่กี่เดือน แต่โรงแรมนี้ต้องบอกเลยว่าถ้าใครได้มาพักแล้วหละก็จะต้องรู้สึกถึงความสบายและรูปแบบการตกแต่งที่ไม่เหมือนใคร และโรงแรมแห่งนี้เรียกได้ว่าอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ การเดินทางสะดวกสบายมากใกล้ๆ โรงพยาบาลสวนดอกนี่เอง
และโรงแรมที่น้าอ้วนพูดถึงก็คือ HYDE PARK RESIDENCE โรงแรมขนาดกลาง ขนาด 5 ชั้นอยู่ในซอยเชียงคำ (ซอยด้านข้างร้าน 7-Eleven สาขาตรงข้ามโรงพยาบาลสวนดอก) เลี้ยวรถเข้ามาประมาณ 800 เมตร โรงแรมจะอยู่บริเวณด้านซ้ายมือ จะจอดรถบริเวณด้านข้างโรงแรม หรือจะเข้าไปจอดในลานจอดรถของโรงแรมเลยก็ได้ สะดวกสบายมาก
ถึงแม้โรงแรมนี้จะเป็นโรงแรมขนาดกลาง แต่เรียกได้ว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ถือว่าสู้โรงแรมขนาดใหญ่ๆ ได้สบาย ถึงแม้จะไม่อลังการเท่าแต่ถ้าได้เข้ามาชมแล้วจะต้องรู้สึกตื่นเต้นและสัมผัสถึงความสดใหม่ ของโรงแรมแห่งนี้ แต่เดี๋ยวช่วงท้าย น้าอ้วนจะพาทัวร์โรงแรมนะจ๊ะ ไปดูส่วนต่างๆ ของโรงแรม และไปดูห้องพัก แต่ว่าตอนนี้เรามารีวิวอาหารกันก่อนดีกว่า
ห้องอาหารหลักของโรงแรมแห่งนี้ชื่อ 59 Cafe คือตั้งตามชื่อเลขที่ของโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 08:00 น. ถึง 15:00 น. (สำหรับแขกภายนอก) และในส่วนของอาหารเช้าสำหรับแขกที่พักในโรงแรม จะให้บริการตั้งแต่ 06.30 น. – 10:00 น. คอนเซ็ปอาหารของที่นี่คือ Love at first sight คือให้รักตั้งแต่แรกพบ โดยทางโรงแรมจะเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่าที่จะหามาได้ และเอามาปรุงเป็นอาหารสักจานเพื่อให้ลูกค้าได้กินแล้วประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ชิม เพราะเมื่อลูกค้าประทับใจ ก็ย่อมที่จะกลับมาในครั้งต่อไป นั่นแหละคือหลักการของที่นี่
Crab and Cream (225 บาท) หรือถ้าเรียกง่ายๆ ก็อาจจะเรียกว่าแซนวิชเนื้อปูก็ได้ เนื้อปูที่คลุกเคล้ากับครีมซอส รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ และแอปเปิ้ลเขียวเพิ่มความสดชื่น เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังแซนวิช เห็ดย่าง ไข่ดาวเสิร์ฟมาเป็นเครื่องเคียงอยู่ในจาน ถือเป็นเมนูเบาๆ อิ่มอย่างมีรสชาติ
Pasta Carbonara (149 บาท) ใครที่ชื่นชอบความเป็นครีม เป็นนมเนย ต้องขอแนะนำสปาเก็ตตี้ คาร์โบนาร่าของที่นี่ รสชาติเข้มข้น จัดเต็มเครื่องเริ่มจากครีมซอสที่ข้นฃลั๊ก เบคอนชิ้นใหญ่ๆ เห็ดรสชาติหนุบหนับ สุดท้ายโรยด้วยเบคอนทอดกรอบที่กรุบกรอบและเพิ่มความเข้มข้นของชีสด้วยพาเมซานชีส บอกเลยว่าใครที่ชอบคาร์โบนาร่า จานนี้ต้องห้ามพลาด
Egg Benedict (195 บาท) ใครที่ชอบการกินอาหารเช้าสไตล์อเมริกัน เชื่อเลยว่าเมนู Egg Benedict ต้องเป็นเมนูที่อยู่ในใจของใครหลายคน Poached Egg หรือที่ใครหลายคนอาจจะเรียกว่าไข่ลวก ที่ด้านนอกสุกแต่ด้านในยังมีความเป็นยางมะตูม เสิร์ฟกันมา 2 ฟองอยู่บนขนมปังและกัวคาโมเล่ (อาหารสไตล์แม็กซิกัน ทำมาจากอโวคาโด้บดละเอียดผสมกับเครื่องปรุงต่างๆ) แต่ที่นี่จะได้ไม่ได้เป็นกัวคาโมเล่สไตล์แม็กซิกันจ๋า แต่จะได้รสที่กลมกล่อมและละมุนมาก เสิร์ฟพร้อมสลัดผักสด และเบคอนทอด ซึ่งอย่างที่น้าอ้วนบอกว่าที่นี่จะเลือกใช้แต่วัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่าที่จะหามาได้ และเจ้าเบคอนทอดในจานนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าที่นี่เด็ดจริง
Double Salmon (225 บาท) ใครที่ชื่นชอบแซลมอน จะต้องอดใจสั่งจานนี้ไม่ได้แน่นอน คำว่า Double Salmon ก็มาจากในจานนี้มีแซลมอนอยู่ 2 ชนิดคือ เนื้อปลาแซลมอน (Smoked Salmon) และไข่ปลาแซลมอนนั่นเอง สอดแทรกด้วยครีมชีสชิ้นโตที่เนียน หนึบและนุ่ม พร้อมกับสลัดผักสดที่แสนสดชื่น เขาว่ากินปลาแล้วจะได้ฉลาด ดังนั้นไม่ควรพลาดเมนูนี้นะจ๊ะ
ย้อนกลับมามองหาเมนูไทยๆ ออกมาทางเมืองเหนือซะหน่อย เมนูยอดฮิตอย่างข้าวซอย ที่นี่ก็มีนะจ๊ะ ข้าวซอยไก่ (145 บาท) ข้าวซอยสไตล์เมืองเหนือ รสชาติออกหวานนำ กลิ่นเครื่องเทศหอมตลบอบอวนมาก เพราะเชฟได้บอกว่าในน้ำแกงของข้าวซอยนี้มีเครื่องเทศสไตล์อินเดียผสมอยู่ ดังนั้นกลิ่นต่างๆ จึงออกมาเด่นมาก และที่สำคัญน่องไก่ที่อยู่ในชาม น่องไก่ไม่ตุ๋นอยู่ในน้ำแกงข้าวซอยตามแบบที่ร้านอื่นๆ เขาทำกัน แต่ที่นี่จะเอาน่องไก่ไปหมักและไปย่างไฟให้สุกพอดี จะได้น่องไก่ที่ไม่สุกมาก เนื้อยังมีความเหนียวเบาๆ เพื่อให้ได้รสสัมผัส (Texture) ในการเคี้ยวในปาก
มาดูในฝั่งสเต็กบ้างนะจ๊ะ วันนี้น้าอ้วนได้ลองชิมอยู่ 2 อย่างเอง (พูดอย่างดูน้อยเลยนะ แต่รวมทุกอย่างที่ชิมวันนี้ก็เยอะมากแล้วนะ แต่เป็นน้าอ้วนแล้วต้องชิมเพื่อแฟนเพจ ๕๕๕๕)
Kurobuta Porkchop (395 บาท) สเต็กหมูคุโรบูตะซอสลำไย พูดตามตรงว่าสเต็กหมูพ็อคช้อปที่ไหนก็มี แต่ทำไมต้องมากินที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีซอสที่ไม่เหมือนใคร ก็คือซอสลำไยนั่นเอง (แต่ซอสอื่นๆ เช่นพริกไทยดำ, ลูกพรุน อะไรแบบนี้ก็มีนะ) ซอสที่รสชาติแปลกใหม่ รู้สึกถึงความหวานแบบกลมกล่อมที่เป็นตัวเด่น ทำให้เวลาที่กินกับเนื้อหมูคุโรบุตะที่ย่างสุกร้อนๆ มาแล้วหละก็มันรู้สึกว่าแปลกแต่เข้ากันได้อย่างลงตัว
สุดท้าย Sea bass Cream Lemongrass (350 บาท) สเต็กปลากะพงที่แล่เนื้ออกมาเป็นชิ้นใหญ่พอควร เอาไปย่างไฟจนเนื้อและหนังปลาสุกและกรอบแต่ด้านในยังคงความฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมผักโขมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผักที่มีประโยชน์ ไฟเบอร์สูง และผักย่างต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นเมนูที่กินอร่อยและยังมีประโยชน์อีกด้วย สำหรับสาวๆ ที่ต้องการคุมน้ำหนัก นี่เลยเมนูนี้รับประกันกินแล้วไม่อ้วน
ปิดท้ายด้วยของหวานล้างปากสักจาน “ขนมครกหลวง (95 บาท)” เมนูที่จำลองขนมครกแบบไทยๆ มาเป็นเมนูที่หน้าตาอินเตอร์ ขนมครกชิ้นใหญ่ที่ฉ่ำด้วยกะทิ และความมันของข้าวแท้ๆ ที่เอาไปบดแล้วทำเป็นขนมครกชิ้นนี้ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวเหนียวมูน และมะม่วงสุกที่หวานหอม ถือเป็นเมนูไทยๆ ที่เอามาดัดแปลงให้ดูอินเตอร์และยังคงความอร่อยแบบไทยๆ ได้เป็นอย่างดี
เมนูอาหารเช้า (All Day Breakfast) ที่น้าอ้วนรีวิวไปไม่ว่าจะเป็น Crab & Cream, Double Salmon, Egg Benedict และอื่นๆ สำหรับแขกที่เข้าพักที่โรงแรม สามารถเลือกได้ว่าจะรับเป็นเมนูไหนสำหรับมื้อเช้าในแต่ละวันตั้งแต่เวลา 06:30 – 10:00 น.
นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องดื่มอย่าง 59 Coffee ทั้งแบบร้อนและเย็น ซึ่งเป็น Signature Drink ของที่นี่ เป็นกาแฟสไตล์ไทยๆ ที่รสชาติไม่หวาน หอมกลุ่มกลิ่นกาแฟ ในรสชาติที่เรียบและละมุน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรหวานๆ แบบน้าอ้วน
ในเมื่อเราอิ่มท้องกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมที่จะตลุยเยี่ยมชมส่วนต่างๆ ของโรงแรมกันแล้ว รวมถึงห้องพักด้วยนะจ๊ะ เผื่อใครมีอารมณ์แบบว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศที่นอน เบื่อเตียงตัวเดิมๆ ที่บ้านแล้ว ลองหาที่พักแปลกใหม่สักคืนสองคืน ก็ลองดูที่นี่ได้ก่อนนะจ๊ะ ก่อนอื่นก็เริ่มจากบริเวณ Lobby ที่ค่อนข้างกว้างขวางสะดวกสบาย รวมไปถึงมีห้อง Meeting Room เล็กๆ ไว้สำหรับแขกที่เข้าพักทุกท่านไว้ใช้สอยทำกิจกรรมที่ต้องการ
ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นต่างๆ ของโรงแรม ซึ่งบริเวณชั้น 2 จะเป็นพื้นที่ลานจอดรถ ดังนั้นห้องพักต่างๆ จะเริ่มจากชั้น 3 เป็นต้นไป (ระบบลิฟท์ที่นี่จะเป็นคีย์การ์ด ผู้ที่ได้อนุญาตเท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปยังส่วนห้องพักได้เท่านั้น) ชั้น 3 จะมีห้องพักสไตล์ต่างๆ เริ่มต้นด้วยพื้นที่ใช้สอย 32 ตารางเมตร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ถ้าเป็นห้องกลางจะเป็นห้องที่พื้นที่อาจจะเล็กหน่อย แต่ถ้าเป็นห้องหัวมุมตึกจะมีพื้นที่กว้างขึ้น และสามารถมองเห็นวิวของสนามกอล์ฟ หรือวิวของเมืองได้อย่างเต็มที่
ต้องบอกเลยว่าน้าอ้วนได้แวะเวียนไปดูห้องพักหลายสไตล์มาก เรียกได้ว่าเดินเข้าออกเกือบทุกห้อง และทุกชั้น ๕๕๕๕ โดยเฉพาะชั้นสูงสุดก็คือชั้น 5 ความแปลกและไม่เหมือนใครของที่นี่ก็คือลักษณะของห้องพักแบบ Duplex คือห้องพักที่มีบันไดขึ้นชั้น 2 ที่อยู่ในห้องนั้นๆ โดยจะมีทั้งที่เป็น Duplex 1 ห้องนอน (พื้นที่ 62 ตรม.) หรือจะเป็น Grand Duplex แบบ 2 ห้องนอน (พื้นที่ 94 ตรม.) พร้อมห้องรับแขกในตัว และครัวเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนพวก Serviced Apartment เรียกได้ว่าเป็นห้องพักที่ตอบโจทย์ของการเข้าพักแบบครอบครัว หรือกรุ๊ปใหญ่ได้อย่างลงตัวจริงๆ
ชื่อร้าน : 59 Cafe’ – Hyde Park Residence
ที่อยู่ : 59 ซอยเชียงคำ ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.785270, 98.972475 (แผนที่จาก Google Maps)
ติดต่อ : 053-275959 , 093-1304844 , https://www.facebook.com/Hyde.Park.Chiang.Mai
เวลาเปิด–ปิด : 08:00 – 15:00 น. ทุกวัน (สำหรับแขกภายนอก) , ลูกค้าที่เข้าพักเริ่มให้บริการตั้งแต่ 06.30 – 15.00 น.
Wongnai Review : https://www.wongnai.com/restaurants/236017bl-59-café
COMMENT