มาที่เดียวจบ อิ่มครบทั้ง 4 ภาค อาหารไทยในแบบครบรส ต้นฉบับสูตรโบราณพร้อมเสิร์ฟที่ กิ่งไกร นิมมาน 11
ยุคสมัยนี้ถ้าจะให้ไปเที่ยวไหน หลาย ๆ คนก็คงคิดหนัก เพราะคงไม่อยากเดินทางไปที่ไหนไกล และแน่นอนว่าการที่เราจะไปเที่ยวไหนสักแห่ง เราก็อยากจะกินอาหารประจำถิ่นของแต่ละท้องที่ แต่เมื่อไปเที่ยวไม่ได้แล้ว ก็คงได้กินแต่อาหารเหนือหรือเปล่า? ๕๕๕๕ วันนี้ไม่ต้องร้องไห้ ถึงแม้ไม่ได้ไปเที่ยว แต่น้าอ้วนก็ยังมีร้านอาหารมาแนะนำ บอกเลยว่ามาที่เดียวได้กินอาหารครบทั้ง 4 ภาค ไม่ว่าจะเป็น เหนือ กลาง ตะวันออก หรืออีสาน กับร้านที่ต้องเรียกว่าเจ้าของร้านเป็นคนทุกภาค และได้เก็บเกี่ยวเรื่องราวดี ๆ ของอาหารแต่ละภาคไว้ และมาแบ่งปันความอร่อยได้ในที่เดียว ที่ร้าน กิ่งไกร
อะไรคือกิ่งไกร … ไกร คือชื่อต้นไม้ที่เป็นต้นไม้ที่ปลูกไว้ที่บ้านของเจ้าของร้าน ต้นไกรนั้นมีอายุมากกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งเรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อม ๆ กับเจ้าของร้านเลยก็ว่าได้ ตอนนี้ต้นไกรก็สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาแก่บ้านหลังนั้น สำหรับร้านอาหารกิ่งไกรนั้น ถือว่าเป็นร้านอาหารที่รวมเอาอาหารของทั้ง 4 ภาคของไทยมารวมไว้อยู่ที่เดียว เนื่องด้วยเจ้าของร้านอาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนทุกภาค ไม่ว่าทั้งเคยได้ไปอยู่ในภาคต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งได้คลุกคลีกับคุณยาย ซึ่งเป็นคนภาคตะวันออก คุณตาเป็นคนภาคกลาง มีบ้านอยู่ภาคอีสานและล่าสุดย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นภาคเหนือ ซึ่งได้ซึมซับและเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารของแต่ละภาคเอาไว้เป็นอย่างดี จึงเป็นที่มาของร้านกิ่งไกร อาหารสี่ภาคในที่สุด
เกริ่นไปซะนาน นี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าร้านกิ่งไกรเขาอยู่ตรงไหน ร้านอยู่นิมมานเหมินท์ ซอย 11 ถ้าเราเลี้ยวเข้าซอยมาแล้ว ร้านจะอยู่ด้านขวามือ (ก่อนถึงสี่แยกกลางซอย) สำหรับการจอดรถ ในซอยนี้ก็สามารถจอดรถได้ แต่ต้องดูวันคู่ วันคี่ด้วยนะ แต่ถ้าใครอยากอุ่นใจ ก่อนถึงร้านก็จะมีลานจอดรถเอกชนอยู่ ค่าจอด 50 บาทเท่านั้นเอง
ก่อนที่เราจะไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันวันนี้ เมื่อเราเดินเข้ามาในร้าน ก็จะเจอบาร์เครื่องดื่มอยู่ ที่นี่เขามีเครื่องดื่ม Mocktail Signature ที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอมาก เครื่องดื่มเย็น ๆ สดชื่นตัวแรกอย่าง Cowa Cowa (110 บาท) เป็นชาอู่หลง โสม และชะเอมเทศ เอามาผสมกับน้ำเชื่อมใบชะมวง ทำให้ได้เครื่องดื่มที่รสชาติหวานอมเปรี้ยว สดชื่น
อีกแก้วหนึ่งที่ได้หยิบเอาเครื่องเทศของชาวเหนืออย่างมะแขว่นมาทำเป็น เครื่องดื่มสุดสดชื่น “จาวเหนือ” (110 บาท) ชา Midnight Earl grey (ชาดำอัสสัม ลาเวนเดอร์ ขมิ้นชัน และสะระแหน่ญี่ปุ่น) มาผสมกับน้ำเชื่อมกลิ่นมะแขว่น ที่ได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศที่ฉุน เผ็ดร้อน (เบา ๆ) แต่รสชาติหวานสดชื่น
ก่อนที่จะเดินขึ้นชั้น 2 ของร้าน มองไปทางซ้ายมือก็จะเห็นเป็นชั้นวางสินค้าเล็ก ๆ ที่มีสินค้ามากมาย ที่เห็นสะดุดตาก็คงหนีไม่พ้นป๊อบคอร์น ซึ่งมีหลากหลายรสชาติ 4 รสชาติหลัก จาก 4 ภาค รวมไปถึงเมนูเด็ดอย่างปลานิลคั่วแห้ง เมนูสุดฮิต จะเอาไปกินคู่กับอะไรก็อร่อย และยังมีสินค้าจักสานจาก Thorr Living หรือแม้แต่ชาที่มาจาก TE ก็พร้อมให้หยิบติดไม้ติดมือกลับบ้าน หรือใครที่เล็งไว้ แต่ยังไม่ได้ซื้อ แต่อาจจะกลับไปซื้อที่ร้านไม่สะดวก เขาก็มีบริการสั่งซื้อออนไลน์ผ่าน https://ginggrai.com ด้วยนะ
เดินขึ้นมาชั้นสอง บอกเลยว่าใครเป็นสายถ่ายรูป สายอัพโซเชียลต้องปลื้ม เพราะสไตล์การตกแต่งร้านนี้เป็นอะไรที่มีความ modern แฝงความเป็น loft เบา ๆ และวอลเปเปอร์ที่ติดรอบห้องก็เป็นลาย Tropical Forest ที่สะท้อนถึงการที่ชาวต่างชาติมองป่าเขตร้อนของบ้านเราผ่านงานศิลปะชิ้นใหญ่
เกริ่นมาซะยาว มาถึงเวลาที่เราจะได้นั่งโต๊ะ และหาอะไรกินซะที อย่างที่บอกคือ ที่นี่จะมีอาหารไทย 4 ภาคไว้ให้บริการ (แต่ไม่มีภาคใต้นะ) จะมีอะไรบ้างเรามาดูกัน
ลาบปลาตอง (100 บาท) ปลาตองจะเป็นปลาที่อยู่ตระกูลเดียวกับปลากราย ซึ่งหลาย ๆ คนก็มักจะเอามาทำเป็นพวกทอดมันปลากราย ใช่แล้วเมนูนี้ก็มีหน้าตาคล้าย ๆ กับทอดมันนั่นแหละ แต่กว่าที่จะได้แต่ละจานต้องบอกว่าเชฟต้องทั้งนวด ทั้งตบ เพื่อให้เนื้อปลาฟู ผสมเครื่องเทศต่าง ๆ จนได้กลิ่นหอมของลาบสไตล์อีสาน จึงนำมาย่างให้สุก จนได้เป็นเมนูลาบที่มีรสชาติหอมกรุ่น ด้านนอกแห้งเกรียมแต่ด้านในยังคงความฉ่ำและหนึบอร่อย
ส้มตำไทย (100 บาท) จัดมาได้อย่างครบรส เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด กับเครื่องเคียงที่มีครบครัน และต้องบอกว่าถ้าส้มตำไทยแบบแท้ ๆ บางร้านเขาจะมีการตำถั่วลิสงคั่วไปด้วย จะทำให้ส้มตำจานนั้นมีความมันแทรกเข้ามา
ตำปูปลาร้า (95 บาท) หรือใครอยากกินแนวอีสานแท้ ๆ ตำปูปลาร้า ที่มีความนัว กลิ่นหอม ยกขึ้นมาดมก็ได้กลิ่นของมะนาวที่ทำให้รู้สึกน้ำลายสอ ส้มตำแบบอีสานแท้ ๆ เขาจะไม่ใส่น้ำตาลนะจ๊ะ บอกไว้ก่อน
ขนมจีนซาวน้ำ (220 บาท) เมนูยอดฮิตของคนภาคกลาง แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าเมนูนี้หากินได้ค่อนข้างยาก เพราะว่ามันจุกจิกมาก แค่เฉพาะเครื่องเคียงก็เกือบ 10 อย่างแล้ว แต่ถ้าใครได้กินจะต้องรู้สึกประทับใจ เครื่องเคียงสมุนไพรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสับปะรด กระเทียมดอง ขิงซอย หมูเด้ง กุ้ง น้ำปลาพริก สิ่งที่จะช่วยชูรสให้เมนูนี้อร่อยยิ่งขึ้นก็คือกุ้งป่น และสุดท้ายราดน้ำกะทิลงไปซะหน่อย บอกเลยว่าอร่อยสุด ๆ
ซี่โครงหมูทอดน้ำปลา (165 บาท) อาจจะมองเผิน ๆ ว่าเป็นเมนูทั่วไป ที่ไหนก็มี แต่เคล็ดลับสุดลับที่น้าอ้วนแอบไปถามมาคือ น้ำปลาที่ทางร้านกิ่งไกรใช้ ไม่ใช่น้ำปลาที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป ทางร้านพยายามเฟ้นหาน้ำปลาที่มีกลิ่น และรสชาติเฉพาะตัว ซึ่งก็ไปพบกับโรงงานผลิตน้ำปลาเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแถวภาคตะวันออก เมื่อเอามาลองทำเมนูซี่โครงหมูทอดน้ำปลานี่แล้ว ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าถึงเครื่องดีจริง ๆ
แกงป่าปลาเห็ดโคน (220 บาท) สำหรับเมนูนี้ต้องบอกก่อนนะว่า ไม่มีให้กินตลอดทั้งปี และบางวันก็ไม่มีให้สั่งด้วย เพราะว่าปลาเห็ดโคนที่ใช้ เป็นปลาที่ชาวประมงต้องออกเรือไปจับปลาวันต่อวัน ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะการันตีได้ว่าจะมีวัตถุดิบส่งให้ได้ทุกวัน แต่วันนี้น้าอ้วนโชคดีที่ได้ชิมเมนูนี้ เนื้อปลาอร่อยมาก ไม่เหมือนกับปลาทั่ว ๆ ไปที่จะหนึบหนับ แต่ปลาเห็ดโคนจะมีเนื้อที่ค่อนข้างเด้ง กรอบอยู่ในตัว เมื่อซดกับน้ำแกงป่าที่รสชาติสุดเข้มข้น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากแนะนำ
หมูชะมวง (240 บาท) เมนูเด็ดที่ตัวแทนจากภาคตะวันออกภูมิใจส่งเข้าประกวด เนื้อหมูที่เคี่ยวจนนุ่ม ที่ร้านจะไม่ใช้หมูสามชั้นเพราะจะมีความเลี่ยน แต่จะเน้นเป็นสันคอหมูเป็นหลัก ซึ่งจะได้ทั้งส่วนที่เป็นเนื้อและเป็นไขมันที่แทรกเข้ามา ทำให้ได้ความนุ่มอร่อย ความเปรี้ยวของใบชะมวงที่ช่วยทำให้เมนูจานนี้มีรสชาติมากขึ้น เพิ่มความหวานเข้าไปอีกหน่อย งานนี้บอกเลยว่าข้าวสวย 1 โถ ไม่น่าจะพอ
ยำปลาสละหอมทอด (190 บาท) หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับปลาอินทรีหอมเค็ม แต่ถ้าได้ลองมาชิมปลาสละหอมจานนี้หละก็ บอกเลยว่าอาจจะต้องแอบมีนอกใจปลาอินทรี เพราะปลาสละจะมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มอร่อย เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างหอมแดง พริกขี้หนูซอย และมะนาวมาเพิ่ม โอ้โห! รอบนี้อาจจะต้องถามหาข้าวต้มร้อน ๆ กันเลยทีเดียว
แอ๊บปลา (160 บาท) เมนูเด่นของเมืองเหนือ ปลาดุกที่เราคุ้นเคยเอามาทำความสะอาดเอี่ยมอ่อง จนไม่มีกลิ่นสาบมาทำให้รสชาติอาหารผิดเพี้ยนไป เมื่อคลุกเคล้ากับเครื่องแกงในแบบเมืองเหนือ แต่ทางร้านจะทำให้ละเอียดหน่อย เพื่อเท็กเจอร์ของเนื้อปลาและเครื่องแกงไปในทิศทางเดียวกัน
เมื่อกินอาหารคาวไปแล้ว เราจะไม่กินหวานได้ไง … เมนูของหวานที่นี่เขาก็จะแยกเป็นสี่ภาคด้วยเช่นกัน เริ่มจากภาคกลางกับเมนูแหวกแนว ใครที่เคยอร่อยกับ ทับทิมกรอบ วันนี้จะชวนมาเปิดโลกอีกด้านกับเมนูอรอ่ย ๆ บัวลอยเผือกแก้ว (75 บาท) เปลี่ยนจากการใช้แห้ว มาใช้เผือกแทน เอาไปคลุกเคล้ากับแป้ง แล้วเอาไปต้มเพื่อให้แป้งขยายตัวกลายเป็นวุ้นใส ๆ เคลือบตัวเผือกเอาไว้ เสิร์ฟพร้อมน้ำกะทิสุดละมุน และเนื้อมะพร้าวอ่อนแสนอร่อย
ข้าวหนุกงาน้ำตาลอ้อย (85 บาท) เมนูอร่อย ๆ ของทางภาคเหนือที่มักจะได้กินกันตอนฤดูหนาว ข้าวเหนียวที่เอาไปคลุกกับงาขี้ม้อน จะได้เป็นข้าวเหนียวหนึบ ๆ ที่มีความหอมมันของงาอยู่ ที่นี่ก็เช่นกันแต่จะอัพเกรดความอร่อยด้วยการเอาไปทอดให้ด้านนอกกรอบ ด้านในยังคงมีความหยุ่น ๆ และเสิร์ฟพร้อมกับน้ำอ้อยเพิ่มความหวานหอม
ขนมปาดข้าวโพดพานาคอตตา (95 บาท) เมนูสุดท้ายภาคอีสานภูมิใจนำเสนอ กับขนมปาดแบบอีสานบ้าน ๆ ที่ทำมาจากข้าวโพด แต่นำเสนอในแบบของพานาคอตต้า นุ่ม เด้งดึ๋ง พร้อมน้ำเชื่อมที่ทำจากข้าวคั่วหอมกรุ่น
มาที่เดียว แต่ได้กินอาหารทั้ง 4 ภาคในโต๊ะเดียวกัน อาหารที่นี่ต้องบอกเลยว่าเป็นสไตล์ไทยแท้ ๆ สามารถใช้คำว่า Authentic ได้อย่างเต็มปาก (ยกเว้นเมนูขนมหวานบางตัวที่อาจจะนำเสนอหน้าตาในแบบโมเดิร์น) เมนูบางอย่างก็ได้รับการสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อย่างเมนูหมูชะมวง ก็เป็นเมนูที่สืบทอดสูตรเครื่องแกงจากคุณทวด ซึ่งนับเวลาแล้วก็มากกว่า 100 ปี ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปสักเท่าไร แต่ความเป็นอาหารไทยแบบพื้นบ้าน แบบฉบับดั้งเดิมยังกรุ่นกลิ่นอายอยู่ที่ กิ่งไกร อย่างอบอวล
ชื่อร้าน : กิ่งไกร – Ging Grai
ที่อยู่ : 18 นิมมานเหมินท์ ซอย 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.796863, 98.968047
ติดต่อ : 081-8612283 , 052-010414 , https://www.facebook.com/4regions , https://ginggrai.com
เวลาเปิด–ปิด : 11:30 น. – 21:00 น. (Last order 20:30 น.) หยุดทุกวันจันทร์
Wongnai Review : https://www.wongnai.com/restaurants/994450io-ging-grai
COMMENT