Posted On
โกอินเตอร์ ท่องเมืองจีนหาชิมอาหารจีนหังโจว-เซี้ยงไฮ้
รีวิวนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นรีวิวฉบับพิเศษของน้าอ้วน วันนี้เราจะแอบอินเตอร์หน่อย พาไปชิมอาหารต่างประเทศ อิอิ …วันนี้น้าอ้วนจะพาไปเที่ยวประเทศจีน ไปลองชิมอาหารจีนต้นตำรับจากแดนมังกร (น้าอ้วนก็เคยชิมอาหารจีนจากร้านต่างๆ ที่เชียงใหม่) วันนี้ขอโอกาสไปชิมจากต้นตำรับเขาซะหน่อย สำหรับรีวิวนี้น้าอ้วนจะพาไปเที่ยวเมืองหังโจว (Hangzhou) และเซี้ยงไฮ้ (Shanghai) สำหรับการเดินทางในครั้งนี้เราได้รับการสนับสนุนจากสายการบินไทยแอร์เอเชีย บินตรงจากเชียงใหม่ไปหังโจวเลยจ้าาาา
สายการบินไทยแอร์เอเชีย มอบความสะดวกสบายให้คนเชียงใหม่เดินทางไปประเทศจีนได้อย่างสะดวก ที่จริงแล้วจากเมืองไทยไปจีนนี่ก็มีหลายเส้นทางนะครับ แต่หลายๆ เส้นทางนั่นเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เป็นหลัก แต่ที่เชียงใหม่มีบินตรงหังโจว อิอิ สบายเลย ซึ่งเส้นทางเชียงใหม่-หังโจว นี่เขามีวันละ 1 เที่ยวบินนะจ๊ะ ดังนั้นถ้าใครอยากไปก็เตรียมตัวได้เลย
หลังจากที่น้าอ้วนเตรียมตัว เตรียมกระเป๋า เตรียมเอกสารต่างๆ ขอวีซ่าเรียบร้อยแล้ว (เชียงใหม่โชคดีที่มีสถานกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำเชียงใหม่ ดังนั้นคนเชียงใหม่เราจึงไม่ต้องเดินทางไกลเพื่อขอวีซ่า อนุมัติง่ายครับถ้าเอกสารครบและเรียบร้อย ก็แค่ 4 วันก็ได้แล้ว ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าท่องเที่ยวเพียงคนละ 1,000 บาทเท่านั้นเอง) ก็เตรียมตัวพร้อมที่จะบินแล้ว ไฟล์ทที่จะบินจะเป็น FD496 เครื่องออกเวลา 17:45 น.ดังนั้นก็ควรไปถึงสนามบินก่อนซัก 2 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ เพื่อทำการตรวจเอกสารและดำเนินพิธีการตรวจคนเข้าเมืองนะครับ พร้อมแล้วก็รอหน้า Gate พร้อมที่จะบิน
สำหรับระยะเวลาบินของเที่ยวบินนี้อยู่ประมาณ 3ชั่วโมง 50นาที ระหว่างที่อยู่บนเครื่อง น้าอ้วนก็ไม่พลาดที่จะสั่งอาหารจาก Airasia Cafe มาทานรองท้องระหว่างที่บิน (ออกแนวกินข้าวบนฟ้า ภัตราคารลอยฟ้า อิอิ) เมนูในวันนี้จะเป็นแกงเขียวหวานไก่ กับข้าวเหนียมมะม่วง อย่างที่หลายๆ คนที่เคยกินอาหารแช่แข็งก็คงยอมรับว่ารสชาติยังไงก็สู้กับอาหารที่ปรุงสุกใหม่ไม่ได้ แน่นอนครับฉันใด ก็ฉันนั้น แต่ก็ถือว่ารสชาติก็อร่อยอยู่ในระดับหนึ่งนะครับ แต่ข้าวเหนียวมะม่วงนี่แข็งมาก ๕๕๕ คงต้องรับปรุงซะหน่อย น้าอ้วนจะบอกว่าที่กินเข้าไปเมื่อกี้ไม่อิ่มนะ ๕๕๕ เลยสั่งบะหมี่อีกชามหนึ่ง สรุปมื้อนี้อิ่มกำลังดี … หลังจากที่ทานข้าว ทานของหวานจนอิ่มแล้วก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ฟังเพลง อ่านหนังสือไปตามเรื่อง
แล้วเราก็ถึงสนามบิน Hangzhou Xiaoshan International Airport ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆ 5 ทุ่มของประเทศจีน (ประเทศจีนเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงครับ) หลังจากที่เรารับกระเป๋าและผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นรถ Shuttle Bus เพื่อเข้าเมือง ซึ่งจะมีบริการอยู่ในอาคารผู้โดยสายในประเทศนะครับ (Domestic Terminal) ซึ่งค่าบริการเพียงคนละ 20 หยวนเท่านั้นเอง
สำหรับโรงแรมที่น้าอ้วนพักในคืนนี้ชื่อ Zhejiang Railway Hotel สาเหตุที่น้าอ้วนเลือกโรงแรมนี้ก็มีเหตุผลหลักๆ ก็คือ
1. โรงแรมนี้อยู่ในจุดที่ Shuttle Bus จอดพอดี
2. โรงแรมนี้อยู่ที่สถานีรถไฟความเร็วสูง Hangzhou ประเด็นคือน้าอ้วนจะเดินทางต่อไป Shanghai ที่สถานีนี้
3. โรงแรมนี้อยู่ไม่ไกลทะเลสาบซีหู (West Lake) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเด่นของหังโจว
4. โรงแรมนี้ราคาไม่แพง (ข้อนี้สำคัญ) อิอิ
หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อย ก็หิวสิ แหม…กินข้าวบนเครื่องเมื่อกี้มันจะไปอิ่มอะไร มันไม่ใช่เหมือนบุฟเฟ่ต์บ้านเรานี่ เราจึงพากันลงมาข้างล่างครับ โชคดีอย่างที่บอกคือโรงแรมนี้เขาอยู่ที่สถานีรถไฟความเร็วสูง ดังนั้นจึงเป็นสถานที่ที่มีคนเดินไปเดินมาพลุกพล่าน (เพราะรถไฟเขาเริ่มเดินกันตี 2) ด้วยความที่ว่าเราเป็นคนต่างถิ่น เราจึงอยากสัมผัสวิถีชีวิตของคนจีนว่าเขาอยู่กินกันยังไง อีกอย่างถ้าจะให้หาร้านอาหารดีๆ เป็นเรื่องเป็นราว เวลานี้เกือบตี 1 แล้วคงไม่มีใครเปิดแล้วหละ อิอิ น้าอ้วนก็เลยเดินสำรวจบริเวณสถานนีรถไฟ ก็เจอร้านบะหมี่แผงลอยอยู่ร้านหนึ่ง (อารมณ์คล้ายๆ ขนมจีนกาดหลวงบ้านเรานั่นแหละ) เราสองคนเลยเข้าไปด้อมๆ มองๆ ดูว่ามีอะไรกิน แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกให้ทุกคนทราบเลยว่า เมืองจีนนี่หาคนจีนที่พูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ดังนั้นเราจึงต้องสื่อสารกันด้วยภาษากาย (Body Language) เหมือนบางคนที่ชอบแซวว่าคุยภาษาอังกฤษจนเมื่อยมือ อารมณ์นั้นเลย หลังจากที่ได้ไปคุยกับอาเจ๊เจ้าของร้าน ก็ได้ใจความว่าให้เราเลือกเส้นที่เขามีให้ทั้งหมด 5 ชนิดเท่าที่ดูก็จะมีวุ้นเส้น เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นหมี่เหลือง เส้นอุด้ง และเส้นอะไรอีกสักอย่าง แล้วสเต็ปที่สองคือ ให้เลือกว่าเราจะเอาแบบก๋วยเตี๋ยว หรือแบบผัดไทย ดังนั้นน้าอ้วนก็เลยเลือกเส้นเล็กคล้ายๆ เส้นอุดงทำเป็นก๋วยเตี๋ยว และเส้นใหญ่ทำเป็นผัดซีอิ๊ว (อันนี้ไม่รู้นะว่าชื่อจริงๆ เขาเรียกว่ายังไง ซึ่งพออาเจ๊เอาอาหารมาเสิร์ฟคือมันหน้าตาแบบนั้นจริงๆ) สำหรับรสชาติคือค่อนข้างจืด จะหนักเค็มนิดๆ ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาของอาหารจีนนั่นแหละ และน้าอ้วนก็ไม่พลาดที่จะสั่งซาลาเปามาอีก 1 เข่ง ได้มา 7 ลูกเล็กๆ รสชาติก็งั้นๆ ไม่ได้อร่อยเวอร์เท่าไร สรุปค่าใช้จ่ายของมื้อนี้ 25 หยวน (125 บาท) เสร็จแล้วก็กลับไปนอนกัน พรุ่งนี้ตื่นมาลุยต่อ (แต่ก็ไม่วายที่จะซื้อสะเบียงไปตุนสำหรับพรุ่งนี้เช้าด้วย อิอิ)
ตื่นเช้ามา (ก็คงไม่เช้าเท่าไร เรียกว่าสายดีกว่า) เราก็พลาดอาหารเช้าของโรงแรม ๕๕๕ แต่เราไม่หวั่นเพราะเราประเมินสถาการณ์เรียบร้อยแล้วว่าเราไม่ทันบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแน่นอน ดังนั้นเราจึงมีมาม่าเมืองจีนเป็น Breakfast ในเช้านี้ บอกเลยว่ากินมาม่าเมืองจีนแล้วมีความรู้สึกโหยหามาม่าต้มยำกุ้งเมืองไทยจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายนะ
หลังจากที่เราเช็คเอ้าท์โรงแรมเสร็จแล้ว เราก็เดินทางไปที่สถานีรถไฟ เพื่อขึ้นรถบัสที่จะมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบซีหู สาย Y2 ค่าเดินทางคนละ 2 หยวน ซึ่งจะเดินทางจากสถานีรถไฟหังโจว ไปยังทะเลสาบซีหูครับ ทะเลสาบซีหูมีพื้นที่กว้างมาก สำหรับคนที่จะเที่ยวชมทะเลสาบแห่งนี้สามารถเดินชมได้ หรือใครอยากล่องเรือชมทะเลสาบก็ทำได้โดยเสียค่าธรรมเนียมล่องเรือ 55 หยวนต่อคนเท่านั้นเอง
ทะเลสาบซีหูคือไข่มุกแห่งเมืองหางโจวเมืองเอกมณฑลเจ้อเจียงทางภาคตะวันออกของจีน สามด้านล้อมรอบด้วยภูเขา น้ำในทะเลสาบใสสะอาดงดงาม เขื่อนไป๋และเขื่อนซู เสมือนเข็มขัดเขียวสองเส้นลอยอยู่ในทะเลสาบ เป็นเขื่อนดินยาวสองเขื่อนที่ตั้งชื่อตามนามสกุลของซูตงโพและไป๋จวีอี้ กวีผู้มีชื่อเสียงของจีน นักท่องเที่ยวเดินบนเขื่อนดิน ชมดอกไม้หลากสีและต้นไม้สีเขียวโดยรอบบริเวณ มองแสงสะท้อนของน้ำในทะเลสาบและภูเขาที่ห่างไกลออกไป เดินไปชมไปเป็นที่จับใจยิ่งนัก ทะเลสาบซีหูมีทิวทัศน์สวยงามตลอดปี เป็นที่จับใจของกวีและนักประพันธ์ทุกยุคทุกสมัย พวกเขาต่างใช้ปลายพู่กันเขียนพรรณนา ชื่นชมความสวยงามของทะเลสาบซีหูสุดความสามารถ ไป๋จวีอี้ กวีผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ถังได้แต่งบทกวีว่า”เว่ยเหนิงเพาเต๋อหางโจวชี่ อีป้านโกวหลิวสื้อฉื่อหู” หมายความว่า การที่จากเมืองหางโจวไปไม่ได้ ก็เพราะติดใจทะเลสาบนี้เป็นส่วนใหญ่ สะท้อนถึงความหลงใหลทะเลสาบซีหูของเขา ส่วนซูตงโพ กวีในสมัยราชวงค์ซ่งก็เปรียบทะเลสาบซีหูเป็น”ไซซี” นางงามในสมัยโบราณ โดยแต่งบทกวีว่า”สุ่ยกวางเลี่ยนเอี้ยนฉิงฟางห่าว ซานสื้อคงเหมิงอวี่อี้ฉี อวี้ป่าซีหูปี่ซีจื่อ ต้านจวงหนงโม่จ่งเซียงอี๋” ซึ่งมีความหมายว่า “แสงสะท้อนคลื่นซัดสาดอากาศดี เขาสลัวมัวมืดฝนมาแปลก ใคร่เปรียบซีหูดั่งไซซี แต่งหน้าหนาบาง ล้วนเหมาะดี” บทกวีนี้กลายเป็นบทกวีชื่นชมทะเลสาบซีหูที่มีชื่อเสียงเลื่องลือนับพันปี
http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter16/chapter160302.htm
หลังจากที่เราล่องเรือชมทัศนียภาพของทะเลสาบซีหูเรียบร้อยแล้ว เราก็กลับมาที่สถานีรถไฟความเร็วสูง หางโจว เพื่อเตรียมขึ้นรถไฟไปยังเมืองเซี้ยงไฮ้ (Shanghai) ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปของเรา หลังจากที่เดินทางมาโดยรถไฟความเร็วสูง ด้านในรถไฟเขาสวยจริงๆ แล้วก็วิ่งเร็วด้วย อิอิ เราก็มาถึงเซี้ยงไฮ้ประมาณเกือบๆ 1 ทุ่มครับ หลังจากที่เราเช็คอินโรงแรมเสร็จเรียบร้อย เราจะลั้นลาที่เซี้ยงไฮ้กัน 2 วันนะจ๊ะ โรงแรมที่น้าอ้วนเลือกก็คือ The Seventh Heaven Hotel เป็นโรงแรมที่ Location ดีมาก เพราะตั้งอยู่ในย่านถนนคนเดินหนานจิ่งลู่ ซี่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งอันดับต้นๆ ของชาวเซี้ยงไฮ้เลยก็ว่าได้
หลังจากที่เราเช็คอินเสร็จแล้ว เราก็ออกมาเดินดูแสงสีของเมืองเซี้ยงไฮ้ยามค่ำคืนครับ ในขณะที่เราออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน เราได้เหลือบเห็นป้ายโฆษณาของร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารไทย เพื่อนน้าอ้วนก็เกิดอาการสำนึกรักบ้านเกิดขึ้นมาทันที รีบบอกว่าพอเราเช็คอินเสร็จเรามากินข้าวร้านนี้นะ ซึ่งน้าอ้วนก็โอเค …. เราจึงมุ่งหน้าไปที่ Hongyi Plaza ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่อยู่บนย่านถนนคนเดินหนานจิ่งลู่ และเราก็มาถึงที่ร้าน Thai Princess Restaurant ซึ่งเราหวังกันเต็มที่ว่าจะได้กินอาหารไทยรสชาติจัดจ้านกันซะที อิอิ
โดยรวมแล้วค่อนข้างผิดหวังกับอาหารที่นี่ เพราะรสชาติแล้วมันไม่ได้เป็นไทยเลย ออกแนวไทยจีนฟิวชั่นมากกว่า (แต่เน้นไปทางจีน ๕๕๕) ความจัดจ้านยังไม่ถึงดีกรีของคนไทย การบริการก็รู้สึกไม่ประทับใจ เพราะเราอาจจะเป็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่พูดจีนไม่ได้ดังนั้นจึงติดต่อสื่อสารกับพนักงานกันลำบาก ต้องชี้ ต้องใช้ภาษามือกันอย่างเดียว สรุปร้านนี้ไม่ผ่านจ่ะ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว (แต่ไม่อร่อยเท่าไร) เราก็มุ่งหน้าไปจุดชมวิวยอดฮิตของเซี้ยงไฮ้ นั่นก็คือ The Bund เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นฝั่งเมืองใหม่ของเซี้ยงไฮ้ นั่นคือฝั่ง Pudong ไม่ได้อ่านว่าปูดองนะครับ อ่านว่า “ผู่ตง” จุดนี้เราจะสามารถมองเห็นหอไข่มุก ตึก SWFC รวมไปถึงตึกเซี้ยงไฮ้ทาวเวอร์ (ซึ่งกำลังก่อสร้างได้เป็นอย่างดี) แต่เสียดายที่วันนั้นหมอกลง เสียดายมากที่ไม่ได้ถ่ายน้องไข่มุกอย่างเต็มที่ ฮือ ๆๆๆๆ
หลังจากที่เที่ยวเล่นกันได้สักพักก็กลับโรงแรมครับ ก่อนกลับโรงแรมก็แวะร้านไก่ทอด KFC ซะหน่อย ร้านไก่ทอดที่เซี้ยงไฮ้ค่อนข้างแปลกครับ เพราะเขาจะขายไก่กันเป็นคู่ คู่ละ 11 หยวน น้าอ้วนก็เหลยเหมามาซะ 8 คู่ (หลังจากเก็บกดและเคียดแค้นร้านอาหารไทยเมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา อิอิ) น้าอ้วนว่ารสชาติของไก่ทอดที่เมืองไทย อร่อยกว่าเมืองจีนนะ ถูกกว่าด้วย อิอิ
เช้าวันแรกของทริปเซี้ยงไฮ้ เหมือนเดิมคือน้าอ้วนตื่นไม่ทันอาหารเช้าอีกแล้ว แต่วันนี้เรามีสะเบียงเป็นไก่ทอดที่เมื่อคืนไว้รองท้องกันก่อนที่จะออกทริป วันนี้เราตั้งใจว่าจะไปเที่ยวชมฝั่งผู่ตงครับ กะว่าจะขึ้นไปดูวิวของเซี้ยงไฮ้ที่หอไข่มุก แต่เสียดายที่วันนี้ฝนตก หมอกเลยลงจัดทำให้ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปดูวิว เพราะคงจะไม่เห็นอะไร
เราจึงไปเที่ยวเล่นที่ Super Brand Mall กัน ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่คนไทยมีหุ้นอยู่ด้วย (แอบตัวพองเล็กน้อย ในฐานะคนไทย หึหึ) วันนี้เราแวะทานอาหารจีนกันที่ร้าน LONGFENG อยู่บริเวณชั้น 8 โชคดีที่ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย (แต่เขาก็มีรูปให้ดูนะ) ดังนั้นจึงง่ายหน่อยที่เราจะสั่งอาหารกัน มื้อนี้น้าอ้วนก็สั่งไม่เยอะเท่าไรก็แค่ ข้าวต้มโจ๊กแบบจีน, ไก่ต้มใส่ขิงสับ, เนื้อผัด และก๋วยเตี๋ยวหลอด (ชื่ออาหารจริงๆ อาจจะไม่ใช่แบบนี้เพราะน้าอ้วนอ่านภาษาจีนไม่ออกครับ เลยขอเรียกอาหารตามหน้าตาของมันละกัน) สำหรับร้านนี้น้าอ้วนให้คะแนนไปเลย 9/10 ครับ ขอหักคะแนนตรงสื่อสารกับพนักงานไม่รู้เรื่องซะ 1 คะแนน ถือว่าเป็นร้านอาหารจีนที่อร่อย (มื้อแรกของทริปเมืองจีน ๕๕๕)
เมื่อเราไม่สามารถขึ้นไปชมวิวที่หอไข่มุกแล้ว เราจึงเบนเข็มสถานที่ท่องเที่ยวของเราวันนี้ไปที่ Yu Yuan Garden แทนแล้วกัน เราจึงขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อไปลง Yu Yuan Garden Station ซึ่งเป็นสถานทีที่ใกล้ที่สุด แต่เราก็เดินไปอีกนิดเดียวก็ไปถึงแล้วครับ ที่นี่ลักษณะจะคล้ายๆ กับไนท์บาร์ซ่าบ้านเราเลยอ่ะ แต่จะล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรมจีน อาคารบ้านช่องเขาจะสวยงามมาก และเป็นระเบียบ พ่อค้าแม่ค้าก็ขายของกันไม่ยุ่งเหยิงเหมือนไนท์บาร์ซ่าบ้านเราอ่ะ เดินเล่นได้สักพักก็ถึงเวลากลับแล้วครับ น้าอ้วนชอบระบบขนส่งมวลชนของเมืองจีนมาก มันเป็นอะไรที่ครอบคลุม ทั่วถึงและราคาถูกมาก ถ้าเทียบกับ BTS หรือ MRT บ้านเราอ่ะ
น้าอ้วนก็กลับมาที่สถานีรถไฟใต้ดิน East Nanjing Rd. ซึ่งเป็นสถานีที่ไปยังหนานจิ่งลู่ ก่อนเข้าโรงแรมน้าอ้วนก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อไก่ทอดชื่อดังจากเกาหลี (แต่มาโผล่ที่เมืองจีน อิอิ) ชื่อร้าน Ji Guang Delicious Fried Chicken ร้านนี้จะอยู่ในซอยตรงข้ามห้าง Metersbonwe ถ้าใครไปหนานจิ่งลู่ อย่าลืมซื้อนะจ๊ะ และมื้อเย็นนี้เราแวะทานร้านบะหมี่แถวย่านนี้แหละ ชื่อร้านอะไรอย่าถามนะเพราะอ่านชื่อไม่ออก ขนาดเมนูน้าอ้วนยังแป๊กเลย แต่โชคดีที่มีภาษาอังกฤษอยู่บ้าน จับใจความได้ 2 อย่างคือ Wonton (เกี๊ยว) และ Beef Noodle อิอิ จึงได้เกี๊ยวน้ำ และบะหมี่เนื้อมา น้ำซุปค่อนข้างมีกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยนิดๆ แต่รสชาติก็ถือว่าโอเคนะ ไส้เกี๊ยวน้ำจะเป็นไส้ผักมีหมูเล็กน้อย ในส่วนของบะหมี่เนื้อนี่กลิ่นแรงไปหน่อยจ่ะ ….หลังจากนั้นก็กลับโรงแรม นั่งกินไก่ทอดแทน (อร่อยมากกกกกกกกกกก)
วันสุดท้ายของทริปเมืองจีนครั้งนี้มาถึงแล้ว เสียดายอ่ะ อยากอยู่ต่อจังเลย …วันนี้อากาศดี แม่มเซ็งทำไมต้องอากาศดีวันนี้ด้วย ไม่งั้นได้ขึ้นไปดูวิวที่หอไข่มุกแล้ว แต่วันนี้เรามีทริปที่จะไปช้อปปิ้งกัน เงินในกระเป๋าร้อน อารมณ์อยากจับจ่าย เราจึงมุ่งหน้าไปช้อปกันที่ตลาดซิ่นหยาง (Shanghai A.P. XinYang Fashion & Gift Market) โดยขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานี East Nanjing Rd. ไปที่สถานี Shanghai Science & Technology Museum ครับ พอลงรถไฟใต้ดินปุ๊บ จะเจอตลาดปั๊บ แหม!!!! อำนวยความสะดวกกันดีจริงๆ สำหรับการช้อปปิ้งในครั้งนี้เราใช้เวลากันไปประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ได้ของฝากติดไม้ติดมือกันมาเล็กน้อย
และแล้วก็ถึงเวลาหม่ำๆ อาหารจีนมื้อสุดท้ายของเราวันนี้ เราเลือกร้านอาหารที่อยู่บริเวณ Shanghai Science & Technology Museum ชื่อร้าน A Ganxuan Restaurant เมนูที่เลือกวันนี้คือเสี่ยวหลงเปา, เนื้อผัด, เป็ดย่าง, ไส้หมูผัดรากบัวและพริก และซุปเห็ด โดยรวมอาหารที่นี่ถือว่าโอเคครับ รสชาติใช้ได้ มีรสชาติจัดจ้านบ้างพอให้คนไทยได้รู้สึกแซ่บลิ้น ๕๕๕ แต่ราคาถือเป็นมิตรมากครับ ทั้งหมดนี่ค่าเสียหาย 42 หยวนเท่านั้นเอง
หลังจากทานข้าวเสร็จเวลาเราเหลือนิดหนึ่งก็เลยแวะเที่ยว Century Park กันซะหน่อย หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Hongqiao Airport Terminal 2 ซึ่งเป็นจุดเดียวกับสถานีรถไฟความเร็วสูง Shanghai Hongqiao Railway Station ซึ่งเราจะขึ้นรถไฟไปที่สถานที Hangzhou กันครับ
หลังจากที่มาถึงสถานีรถไฟ Hangzhou เราก็เกิดเหตุการณ์พลาดรถ Shuttle Bus ที่จะไปสนามบิน อั๊ยหย๋าาาาา ซี้แล้วไหมกรู (เพราะรถบัสเขาหมด 20.00 น. น้าอ้วนไปถึงประมาณ 20.15 น. แหม่ะ นิดเดียวเอง) ดังนั้นหนทางสุดท้ายก็คือ Taxi เท่านั้น เหมือนจะเป็นเคราะห์ซ้ำ กรรมซัด คิวต่อแถวขึ้น Taxi ก็ยาวเหยียดซะ โอยยยย ตายแล้วฉัน จะทันไฟล์ทไหมนี่ จะตกเครื่องไหม? อิอิ …. แต่ในที่สุดเราก็ได้ขึ้น Taxi แค่นั้นไม่พอจ่ะ …. Taxi พูดอังกฤษไม่ได้ ฟังอังกฤษไม่ออก บอกว่า Hangzhou Airport ฮีฟังไม่รู้เรื่อง โอยยยยย จะบ้าตาย!!!! แต่โชคดีที่น้าอ้วนเปิด Roaming ไว้ เลยเปิดเว็บ Hangzhou Airport ให้ Taxi ดู เผอิญหน้าเว็บนั้นมีภาษาจีนด้วย โชคดีมาก ดังน้้นเลย Let’s Go กันเลย Taxi เหยียบ 120 kmph พุ่งปรี๊ดดดด ไปยังสนามบินภายใน 30 นาที!!! หมดค่า Taxi + ค่าทางด่วนไป 120 หยวน
และแล้วเราก็มาถึงสนามบิน Hangzhou Xiaoshan International Airport แล้วครับ รอเครื่องที่จะบินกลับบ้านกันจ๊ะ ไฟล์ทจะเป็น FD497 ที่จะขี้นบินตอน 23:25 น.ครับ ระหว่างที่รอก็หาอะไรรองท้องกันซะหน่อย ได้มาม่าเมืองจีนอีกแล้วรองท้อง ๕๕๕ แต่ก็โอเคนะ ทำให้ชีวิตรอดไปอีก 1 มื้อ พอเครื่องบินมาถึง เราก็บอร์ดดิ้งกันแล้วจ้าาาาาาา แทบจะเรียกได้ว่าไฟล์ทนี้มีน้าอ้วนกับเพื่อนสองคนเท่านั้นที่เป็นคนไทย นอกนั้นจีนล้วนๆ อิอิ
มื้อสุดท้ายรีวิวอาหารบนเครื่องอีกละ รอบนี้เป็นข้าวไก่อะไรสักอย่างของพี่เล็กคาราบาวเนี่ยแหละ รสชาติก็จัดจ้านดีครับ ข้าวนุ่มดีนะรอบนี้ เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่ม และรอบนี้ของหวานเป็นลูกตาลลอยแก้ว (ถ้าใส่น้ำแข็งมาด้วยจะโอเคมากเลย) หลังจากทานข้าวกันเสร็จแล้วก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย และแล้วเครื่องก็แลนดิ้งที่สนามบินเชียงใหม่ ผ่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย รับกระเป๋า แล้วก็กลับบ้าน
สรุปทริปเมืองจีนในรอบนี้ทั้งสนุก ทั้งมัน ทั้งเหนื่อย แตกต่างจากทริปเมืองจีนที่น้าอ้วนเคยไปเที่ยวเมื่อตอนต้นปีครับ อันนั้นไปกับทัวร์ซึ่งบริษัททัวร์เขาจัดการให้เราหมดทุกอย่าง แต่รอบนี้เราต้องจัดการเอง ตังแต่ขอวีซ่า จองโรงแรม ซื้อตั๋วรถไฟ รถทัวร์ รถบัสต่างๆ แต่มันก็ทำให้เรารู้จักเมืองหังโจว รู้จักเซี้ยงไฮ้ได้ถ่องแท้ขึ้น ได้มองเห็นความเป็นอยู่ของคนจีนอย่างใกล้ชิด และอะไรหลายๆ อย่างที่เราสามารถจัดแจงได้อย่างตามใจเรา ขอบคุณสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่มอบโอกาสในการท่องเที่ยวในรอบนี้ได้อย่างประทับใจ
RELATED POSTS
-
[EVENT] Grand Opening : Road Runner Food Delivery
-
[PR] อิ่มรับโชค ที่โรงแรมศิริปันนาฯ เชียงใหม่
-
ทำประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร ผ่านน้าอ้วนชวนหิว ดีอย่างไร?
-
Mini Meeting น้าอ้วนชวนหิว ครั้งที่ 1
-
[Event] งานมหกรรมอาหารเชียงใหม่ ครั้งที่ 25
-
น้าอ้วนชวนหิวเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Wongnai.com
-
กินเจ ไม่จำเจ ด้วยร้านอาหารเจอร่อยๆ 5 ร้านของเชียงใหม่
COMMENT