Posted On
แวะพักทานข้าว ดื่มชา ชิมขนม ชื่นชมความสวยงามของร้านอาหารสไตล์ Modern Industrial กลางเมือง
ถนนราชดำเนิน น้าอ้วนเชื่อว่าหลายคนต้องรู้จัก เพราะทุกวันอาทิตย์ ถนนเส้นนี้จะเป็นถนนสายที่คราคร่ำด้วยผู้คนทั้งพ่อค้าแม่ขาย หรือนักท่องเที่ยวที่อยากมาเยี่ยมชมถนนคนเดินท่าแพ ที่ต้องเรียกได้ว่าเป็น Don’t Miss ของเชียงใหม่ก็ว่าได้ แล้วหลายๆ คนเคยสังเกตุไหม? ว่าเมื่อเราเดินไปนิดหนึ่งผ่านที่แยกวัดพันอ้นไปสักนิด จะมีตึกทรงเก๋ๆ สไตล์ออกแนวยุโรปๆ ตั้งอยู่บริเวณด้านซ้ายมือเรา และนี่แหละคือร้านอาหารที่น้าอ้วนจะพามาแนะนำในวันนี้ ตึกรูปทรงที่ดูแล้วช่างยั่วยวนให้เข้าไปเยี่ยมชม และสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหารที่ชื่อว่า D Bistro by Deck 1 ร้านอาหารดีๆ ที่ต่อยอดมาจากร้าน The Deck 1 ริมน้ำปิงนั่นเอง
ชื่อร้าน : D Bistro by Deck 1
ที่อยู่ : ถนนราชดำเนิน ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.788064, 98.989159
ติดต่อ : 053-271339 , https://www.facebook.com/dbistro.thailand
เวลาเปิด–ปิด : จันทร์ – เสาร์ 08:00 – 23:00 น. / อาทิตย์ 08:00 – 24:00 น.
Wongnai Review : https://www.wongnai.com/restaurants/211593La-d•bistro-by-deck-1
การที่จะมาร้าน D Bistro by Deck 1 แห่งนี้ไม่ยากเลยสักนิด แค่น้าอ้วนเปรยไว้บนหัวข้อด้านบน หลายคนก็คงมากันถูกแล้วหละ เพราะร้านนี้เขาตั้งอยู่ถนนราชดำเนิน (ถนนคนเดินท่าแพวันอาทิตย์) หากเรามาจากประตูท่าแพ ให้มุ่งหน้าไปทางวัดพระสิงห์ เลยสี่แยกวัดพันอ้นไปประมาณ 100 เมตร ร้านจะอยู่บริเวณด้านซ้ายมือ สำหรับรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์วันธรรมดา (วันจันทร์ – วันเสาร์) ก็จอดเลียบถนนราชดำเนินได้เลย (แต่ดูด้วยนะจ๊ะว่าวันนั้นเขาให้จอดฝั่งไหน) ส่วนวันอาทิตย์นี่คงต้องให้จอดรถไว้ด้านนอกแล้วให้เดินเข้าไปดีกว่า เพราะเขามีถนนคนเดินกัน
ถ้ามองด้านนอกก็จะเห็นเป็นตึกหลังใหญ่ๆ สไตล์ยุโรป แค่มองดูแล้วก็รู้สึกว่าอลังการดี ๕๕๕๕ แว๊บแรกที่เดินเข้าไป กลิ่นของ Aroma Oil ที่ลอยฟุ้งมาจาก Let’s Relax ร้านสปาที่อยู่ใกล้กันมันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจดีจริงๆ สำหรับด้านหน้าจะเป็นในส่วนของเค้าน์เตอร์รับออเดอร์นะจ๊ะ แต่ก็จะมีโต๊ะตัวเล็กๆ อยู่ 1 ตัว ซึ่งถ้าลูกค้าประสงค์ที่จะจองพื้นที่ตรงนี้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นในส่วนของร้านอาหารจริงๆ จะอยู่บริเวณด้านหลัง
ส่วนของร้านอาหารด้านหลังจะเป็นพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งจะมีทั้งแบบ Indoor ที่มีโต๊ะอยู่หลายตัว ให้บริการลูกค้าได้หลายสิบท่านและอากาศเย็นสบาย แต่ถ้าใครชอบที่จะสัมผัสธรรมชาติก็จะมีพื้นที่ Outdoor ด้านนอกที่เป็นผนังน้ำพุและมีต้นไม้ ดอกไม้เป็นสวนเล็กๆ ไว้ให้พักผ่อนหย่อนใจได้ในตัว
เมนูอาหารที่นี่มีทั้งไทยและเทศ แต่ส่วนมากจะเป็นพวกอาหารจานเดียวเป็นหลัก พร้อมทั้งของหวานและเครื่องดื่ม พูดถึงราคาอยู่ในระดับกลางๆ ถ้าเทียบกับลักษณะการตกแต่งและรสชาติที่น้าอ้วนได้ชิมมาแล้ว รับประกันว่าทั้งหน้าตาอาหาร รสชาติ และการบริการถือว่าสมเหตุสมผลแน่นอน
ร้านนี้มาแปลก เพราะเสิร์ฟของหวานก่อนอาหาร แต่น้าอ้วนก็ไม่ซีเรียสเพราะเราสามารถ ๕๕๕ จะเป็นของหวานก่อน หรืออาหารก่อนเราก็พร้อมเสมอ ดังนั้นช่วงแรกน้าอ้วนแนะนำของหวานที่ถือเป็นตัวเด่นๆ ของ D Bistro by Deck 1 ก่อนแล้วกันนะจ๊ะ วันนี้เรามีมาอยู่ 3 ตัว สายของหวานต้องเกาะติดจออย่างใกล้ชิด เดี๋ยวถ้าพลาดไปจะเสียดายแน่นอน
Chocolate Fondue Banana (120 บาท) กล้วยหอมสุกกำลังดี นำไปชุบแป้งทอดให้ข้างนอกกรอบและด้านในสุก เสิร์ฟพร้อมกับกระทงแป้งแผ่นทอดกรอบ (ทานได้ด้วยนะ) ด้านบนก็โรยน้ำตาลไอซิ่ง และช็อคโกแลต เวลาทานต้องนำกล้วยหอมจิ้มลงไปช็อคโกแลตที่รสชาติเข้มข้นและพรีเมียมมาก จะได้รสชาติกรอบของแป้ง กัดลงไปพบกับกล้วยหอมที่สุกกำลังดี ฉ่ำเพราะโดนความร้อนและความหวานของช็อคโกแลต ทำให้เป็นของหวานที่มีหลายสัมผัสในคำเดียว
Summer Paradise (120 บาท) น้าอ้วนว่าเจ้าตัวนี้เป็นของหวานที่เหมาะสำหรับฤดูร้อนดีมากๆ สัปปะรดที่เอาไปเชื่อมผสมผสานกลิ่นของอบเชย (Cinnamon) จนฉ่ำเมื่อเอาเข้าปากจะรู้สึกอบอวนของกลิ่นอบเชยทั่วปาก พอทานสัปปะรดหมดคำก็ต่อด้วยรสชาติความหวาน มันของไอศครีมกลิ่นกะทิ ขนมปัง Crouton และน้ำตาลปั้น ถือว่าเชฟนำส่วนผสมทั้งหมดมาอยู่ด้วยกัน จนทำให้ได้รสชาติและความรู้สึกที่เข้ากันได้ดีมาก
Tropical Fruit Pancake (160 บาท) ต้องบอกว่าเป็นเมนูที่น้าอ้วนชอบที่สุด เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบกินผลไม้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นผลไม้เมืองร้อนด้วยเพราะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติฉ่ำ และน้ำเยอะ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วงสุก กีวี่ สตรอเบอรี่ แก้วมังกร แคนตาลูป กล้วย องุ่น ราสเบอรี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นส่วนผสมของของหวานจานนี้ทั้งหมด ด้านล่างก็จะรองพื้นด้วยแพนเค้กกลิ่นวานิลาที่เนื้อนุ่มและแน่นอร่อย ท๊อปปิ้งด้วยวิปปิ้งครีมที่มีรสชาติหวานนิดๆ และมีความมัน ซึ่งเป็นวิปปิ้งครีมที่ทางร้านตีเอง ไม่ได้ใช้สำเร็จรูป (จุดเด่นของวิปปิ้งครีมของที่นี่คือความอยู่ตัวของเนื้อครีม เพราะหลายๆ ร้านที่น้าอ้วนเคยไปชิมมา ถ้าทิ้งวิปปิ้งครีมไว้โดนอากาศสักพัก มันจะเละและเหี่ยวไปในที่สุด แต่ทีนี่ยังคงแน่น เนียนและอยู่ตัวตลอดเวลา) เวลาทานก็แนะนำให้ราดน้ำผึ้งลงบนผลไม้หรือวิปปิ้งครีมเพื่อเพิ่มรสชาติความหวาน และความหอม ทานพร้อมกับอัลมอนสไลด์ที่โรยมาบนวิปปิ้งครีม ช่างเป็นเมนูที่สดชื่นและอร่อยมาก
กระบวนการทำก็ไม่ยากนะ แต่ต้องพิถีพิถันกันหน่อย พร้อมทั้งเรื่องของวัตถุดิบจะต้องสดจริงๆ ถึงจะได้เมนูสุดยอดแบบนี้
มาถึงหมวดของอาหารกันบ้างนะจ๊ะ งั้นเริ่มจากอาหารไทยรสแซ่บ จัดจ้านกับ “ข้าวผัดต้มยำกุ้ง” (130 บาท) ข้าวสวยเรียงเม็ดสวย เอาไปผัดกับเครื่องแกงต้มยำกุ้ง รสชาติจัดจ้าน ขนาดน้าอ้วนชิมแค่คำเล็กๆ ก็ยังรู้สึกถึงความแซ่บเวอร์ที่ซ่อนอยู่ บอกเลยว่าคนไหนที่ชอบอะไรจัดจ้าน เมนูนี้ต้องชอบแน่ๆ อีกทั้งกุ้งที่เสิร์ฟมาคู่กันยังสดและเนื้อแน่นมาก อร่อยสุดๆ
ข้าวอบสัปปะรด (180 บาท) อาหารไทยๆ ที่เสิร์ฟมาได้อย่างตื่นตาตื่นใจของนักท่องเที่ยวอย่างแน่นอน ข้าวสวยเรียงเม็ดสวยงาม เอาไปหุงเครื่องแกงต่างๆ จนได้เป็นข้าวสีเหลืองสวยงาม กลิ่นหอมเครื่องเทศมาก น้าอ้วนชอบกลิ่นของสัปปะรดที่ถูก Burn จนทำใด้กลิ่นสัปปะรดย่างผสมมากับข้าว ทั้งกุนเชียง เนื้อสัปปะรด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกเกด และท๊อปปิ้งด้วยหมูหยอง เป็นเมนูอาหารที่ทั้งคนไทยและคนต่างชาติทานแล้วจะต้องติดใจ
ชุด American Breakfast (160 บาท) โดยเซ็ทนี้จะเสิร์ฟพร้อมกับขนมปังและกาแฟ ในราคา 160 บาทเท่านั้นเอง น้าอ้วนอยากให้โฟกัสตรงไข่กระทะ ในกระทะนี้เสิร์ฟด้วยไข่อยู่ 2 ฟอง แต่เมื่อลองตักลงไปแล้วรู้สึกถึงความอัดแน่นของแฮม ไส้กรอก และเบคอนที่แบบว่าเอาช้อนลงไป แล้วตักขึ้นมาจะได้ทั้งไข่ เบคอน ไส้หรอก ขึ้นมาเต็มไปหมด รู้สึกว่าคุ้มมากๆ จัดเต็มกันจริงๆ
Beef Burger (220 บาท) คนไหนที่ชอบทานเนื้อ เมนูนี้ต้องขอแนะนำเป็นการส่วนตัว เพราะน้าอ้วนชอบทานเนื้อมากๆ เบอเกอร์เนื้อที่ไส้เบอเกอร์อัดแน่นมาก เนื้อที่ย่างมาแบบฉ่ำๆ ราดซอสสูตรเด็ดให้ชุ่ม เอามาประกบกับผักต่างๆ และขนมปังเบอเกอร์ พร้อมแถมเฟร้นช์ฟรายด์เป็นเครื่องเคียง เวลาทานแนะนำให้เอามือกดเบอเกอร์ให้แบน แล้วค่อยๆ ละเมียดละไมกัดเบอเกอร์ให้ได้ตั้งแต่ด้านบนถึงด้านล่างนะจ๊ะ นี่แหละคือการกินเบอเกอร์ที่ถูกต้องและได้รสชาติที่สุด
Grilled Chicken Teriyaki Sandwich (150 บาท) แปลได้ว่า แซนวิชไก่ย่างเทอริยากิ จุดเด่นที่จะต้องพูดถึงคือเรื่องของความฉ่ำของเนื้อไก่ที่ย่างมาได้ดีมาก เนื้อแน่นแต่นุ่มและหอมสุดๆ ถึงแม้น้าอ้วนจะทิ้งเมนูนี้ให้อยู่บนโต๊ะนาน เพราะต้องถ่ายรูปอยู่หลายช๊อต แต่พอถึงเวลาที่จะต้องชิมก็ยังสัมผัสถึงความฉ่ำของเนื้อไก่ย่างได้เป็นอย่างดี ไก่ย่างที่หมักเครื่องจนได้รสชาติที่อร่อย มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก
สรุปโดยภาพรวมของ D Bistro by Deck 1 แล้วต้องยอมรับจริงๆ ว่าเป็นร้านอาหารคุณภาพมากๆ ทั้งความประทับใจแว๊บแรกที่ได้เห็นด้านหน้าของร้านแล้วรู้สึกเป็นร้านที่น่าสนใจและอยากเข้าไปค้นหา ในส่วนของบรรยากาศด้านในก็รู้สึกว่าชิลล์และสามารถผ่อนคลายอารมณ์ได้กับลมหายใจแรกที่ได้สูดเมื่อตอนเดินเข้ามากับกลิ่นของ Aroma Oil ที่ลอยมาแตะจมูก และที่สำคัญคือเรื่องของอาหาร วัตถุดิบคุณภาพ กับฝีมือของเชฟที่เป็นมืออาชีพ น้าอ้วนแอบเห็นเชฟเขาใส่เสื้อของสมาคมพ่อครัวภาคเหนือด้วย ซึ่งเป็นเครื่องการันตีฝีมือของเชฟได้เป็นอย่างดี เพราะเชฟที่อยู่ทีมนี้ล้วนแต่เป็นเชฟโรงแรมดังๆ หรือร้านอาหารเด่นๆ กันทั้งนั้น
RELATED POSTS
-
หลีกหนีความวุ่นวายของในเมือง สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดกับวิวทุ่งนาที่ Chiangmai Rice Life
-
Menu 49 @Nimman 3 อาหารรสจัดจ้าน เข้มข้นถูกปากคนไทย
-
ลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นจากฝีมือเชฟกระทะเหล็ก อยู่เชียงใหม่ก็ฟินได้ ทั้งจะสั่งเป็นจานหรือ Omakase ที่ Nanoh Japanese Restaurant
-
คาเฟ่สุดมุ้งมิ้ง หลากหลายเมนูทั้งหวานและคาว ใครหิวตอนเช้าแวะมาฝากท้องได้ที่ Chalee Cafe หางดง
-
อาหารระดับโรงแรม 5 ดาวเสิร์ฟในโรงแรมบูทิคสไตล์หรู ติดริมน้ำปิง แต่ราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง The Vorra Bistro
-
แวะไปนั่งชิลกับคาเฟ่ลับ ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ สวนเกษตร วิวแม่น้ำเหมาะแก่การมาทอดอารมณ์ชมพระอาทิตย์ยามตกดินที่ ตาหวาน คาเฟ่
-
บุกถึงโรงคั่วชาและกาแฟ ชิมกาแฟและชาที่คั่วสดใหม่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว วัตถุดิบดีที่แบรนด์ดัง ๆ เลือกใช้ที่ TEA FAC. สันติธรรม
COMMENT