Posted On
ร้านหรูอาจดูแพง แต่ราคาไม่แรงอย่างที่คิด อาหารสไตล์อเมริกันแท้ เสิร์ฟจานโตในราคาเอื้อมถึงที่ The Duke’s
ถ้าพูดถึงร้านอาหารฝรั่งในเชียงใหม่ น้าอ้วนว่าใครที่ชอบกินอาหารแนวนี้จะต้องมีร้าน The Duke’s (เดอะ ดุ๊กส์) เป็นร้านที่อยู่ในใจแน่นอน เพราะร้านนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งร้านเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ เพราะเขาเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2005 ถ้านับถึงตอนนี้แล้วก็ 14 ปีแล้ว แต่ถึงแม้ The Duke’s จะเป็นร้านเก่าแก่ แต่เชื่อว่าคนเชียงใหม่บางคนอาจจะยังไม่เคยเข้าไปลองชิม หรืออาจจะไม่กล้าเข้าไปใช้บริการ เพราะคิดว่าร้านนี้ต้อนรับแต่ชาวต่างชาติ!!
อาจจะเป็นเพราะสไตล์การตกแต่งร้านที่เรียกได้ว่าเป็นแนวฝรั่งมาก เลยทำให้คนไทยที่ผ่านไป ผ่านมาอาจจะไม่กล้าเข้าไปใช้บริการ เพราะคิดว่าให้บริการแต่ชาวต่างชาติ และราคาน่าจะแพง แต่!! วันนี้น้าอ้วนจะพามารู้จักร้านนี้กัน เพราะส่วนตัวเมื่อเข้ามาลองชิมแล้วบอกเลยว่ารสชาติอร่อย และราคาสมเหตุสมผลมาก
น้าอ้วนจะพามารู้จัก The Duke’s สาขาริมปิง ซึ่งเป็นสาขาแรกที่เปิดให้บริการ และเขาก็ยังมีอีก 4 สาขาได้แก่ห้างเมญ่า ห้างพรอมเมนาดา ไนท์บาร์ซ่า และแจ่มฟ้าพลาซ่า ลำพูน โดยสาขาริมปิงจะตั้งอยู่ถนนเชียงใหม่-ลำพูน เมื่อเราลงจากสะพานนวรัฐ มุ่งหน้าไปทางค่ายกาวิละ มาประมาณ 300 เมตร ร้านจะอยู่ซ้ายมือ (ก่อนถึงสะพานเหล็ก หรือสำนักงาน ททท เชียงใหม่)
ด้วยการตกแต่งร้านสไตล์ฝรั่งนี่แหละ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่าไม่กล้าเข้า เพราะอาจจะคิดว่าแพง หรือฝรั่งจ๋า บรรยากาศภายในร้านก็จะเป็นร้านที่มีแสงไฟไม่สว่างมาก เป็นแสงไฟที่เหมาะกับการมาดินเนอร์ ดังนั้นถ้าจะพาใครมากินข้าวแบบชิลล์ ๆ หรือพาครอบครัวมากินมื้อเย็นก็ถือว่าที่นี่บรรยกาศได้เลย
เริ่มต้นต้นด้วยเมนูยอดฮิต ซึ่งต้องบอกว่าใครมาแล้วถ้าพลาดสั่งพิซซ่าที่เดอะ ดุ๊กส์หละก็ เหมือนว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว วันนี้ขอแนะนำพิซซ่าตัวเด็ดอย่าง Sausage Mushroom Pizza (265 บาท) โดยพิซซ่าที่นี่จะมีอยู่ 3 ขนาดก็คือ 12 นิ้ว (265 บาท), 14 นิ้ว (375 บาท) และ 16 นิ้ว (465 บาท) เห็นราคาแล้วบอกเลยว่าถ้าจ่ายพิซซ่ากับแบรนด์ยี่ห้อดังได้ พิซซ่าที่นี่ก็ราคาไม่แพงเหมือนกัน และไซส์ใหญ่กว่าด้วย!! ท้าให้ลอง โดยพิซซ่าวันนี้พระเอกจะเป็น เห็ดและไส้กรอกสไตล์อิตาเลียนที่เป็นเนื้อบดแบบหยาบ ๆ หมักกับเครื่องเทศมีกลิ่นหอม แล้วเอาไปกรอกในไส้ทำเป็นไส้กรอก รสชาติเผ็ดเล็กน้อย เนื้อบดเข้าเครื่องกับเครื่องเทศเป็นอย่างดี และที่สำคัญชีสใส่กันมาแบบเต็มที่มาก ซึ่งพิซซ่าที่นี่เวลาหั่นแบ่งเขาจะไม่ตัดแบบสามเหลี่ยม แต่จะตัดเป็นสี่เหลี่ยม ตามสไตล์ Pizza Party
Rib Half Rack (345 บาท) แต่ถ้าเป็นแบบ Full Rack 495 บาท ซี่โครงที่เอาไปหมักกับเครื่องเทศจนซึมเข้าเนื้อ ได้รสชาติของเครื่องเทศต่าง ๆ กำลังดี เอาไปตุ๋นจนเนื้อนุ่ม เปื่อยและร่อน หลังจากนั้นเอาไปอบด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะพร้อมกับราดซอสบาร์บีคิวสูตรเด็ดของทางร้าน จนได้เป็นซี่โครงอบซอสบาร์บีคิวที่เนื้อร่อน รสชาติของเนื้อที่หมักกับเครื่องเทศผสานกับรสชาติเปรี้ยวอมหวานของซอสบาร์บีคิว และตามมาด้วยผู้ติดตามอย่างเฟร้นช์ฟราย, ถั่วอบ, คอร์นเบรด, โคลสลอว์ และผักแนมตามฤดูกาล
Steak Salad (310 บาท) สำหรับใครที่ชอบทั้งสลัด และชอบทั้งสเต๊ก น้าอ้วนว่าเมนูนี้แหละน่าจะถูกใจ เพราะเขาเอาทั้งสลัดผักสด ๆ กับสเต๊กมาไว้ในจานเดียวกัน ด้านล่างจะมีทั้งผักสลัดที่สดกรอบ มะเขือเทศ เห็ดและหัวหอมผัด ด้านบนก็จะท็อปปิ้งด้วยเนื้อสเต๊กที่หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ พร้อมราดซอสรสชาติเปรี้ยวนิด ๆ จานนี้น้าอ้วนแอบแซวว่า ปริมาณเนื้อที่เสิร์ฟมาเยอะกว่าผักซะอีก ๕๕๕๕ งานนี้ถ้าใครที่ชอบทั้งเนื้อและผัก รับประกันจุใจแน่นอน
Spaghetti Carbonara (เบคอน 365 และกุ้ง 495 บาท) เห็นราคาแล้วอาจจะตกใจเล็กน้อยว่า ทำไมสปาเก็ตตีที่นี่ราคาถึงสูงนัก แต่ถ้าเห็นปริมาณแล้ว เรียกได้ว่าเสิร์ฟกันมาแบบเต็มจาน เกือบ 2 เท่าของร้านอื่น ๆ ทั่วไป เห็นแล้วจะเข้าใจว่าทำไมถึงราคานี้ ซอสครีมที่ผัดกับเส้นสปาเก็ตตีเคลือบเส้นมาแบบชุ่มฉ่ำมาก เบคอนและเห็ดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ สุกกำลังดี และพาร์เมซานชีสก็โรยกันมาแบบเต็มอก เต็มใจจริง ๆ
หมดเซ็ทของคาวไปแล้ว เราก็ต้องมองหาของหวานกันบ้าง ของหวานที่นี่ขนาดก็ไม่น้อยหน้าจานของคาวเลย ๕๕๕ ไซส์ใหญ่ สั่งมาแล้วคงต้องแบ่งกันกัน เช่น Cherry Vanilla Pie (125 บาท) แป้งพายที่นุ่มอร่อยอยู่ด้านล่างสุด ไล่เลเยอร์ขึ้นมาด้วยครีมวนิลลาและท็อปปิ้งด้านบนสุดด้วยเชอร์รีหวานฉ่ำ
หรือสำหรับคนที่ชอบความหอมหวานของเนยถั่ว เมนู Oreo Peanut Butter Cheese Cake (185 บาท) ชิ้นโต ๆ แบบนี้ก็น่าจะเป็นที่ชื่นชอบ ด้วยคุ๊กกี้โอรีโอป่นที่แทรกมากับชั้นของครีมชีส ชั้นบนสุดจะเป็นเนยถั่วที่ทางร้านทำเองรสชาติเข้มข้นสุด ๆ
14 ปีไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ ที่ร้านอาหารหนึ่งจะอยู่ได้ยาวนานขนาดนี้ ถ้าไม่มีอะไรที่เจ๋งจริง อีกทั้งยังขยายสาขาไปอีกกว่า 4 สาขาในนาม The Duke’s และยังไม่นับรวมแบรนด์อื่นในเครือด้วยนะ แต่อาจจะเนื่องด้วยสไตล์การตกแต่งร้านที่ดูแล้วเป็นฝรั่งจ๋า เลยทำให้คนไทยไม่กล้าเขา เพราะกลัวเข้าไปแล้วจะแพง แต่เมื่อมาพิจารณาดูเรื่องของขนาดจานที่เสิร์ฟ และคุณภาพแล้ว น้าอ้วนว่าราคานี้สมเหตุสมผลดีมาก ดังนั้นถ้าใครยัง “กลัว” ร้าน The Duke’s อยู่หละก็ บอกเลยว่า “เลิกกลัว” ได้แล้ว ถ้าได้ผ่านก็แวะเวียนไปหาพิซซ่าอร่อย ๆ สักถาด สลัดสักจาน หรือพาสต้าสักจานก็ได้ รับประกันว่าต้องได้ห่อกลับบ้านแน่นอน (เพราะกินไม่หมด) ๕๕๕๕๕
ชื่อร้าน : The Duke’s (ร้านอาหาร เดอะ ดุ๊กส์)
ที่อยู่ : 49/4-5 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
พิกัด GPS : 18.785097, 99.005129
ติดต่อ : 053-249290 , https://www.facebook.com/thedukeschiangmai
เวลาเปิด-ปิด : 10:30 น. ถึง 23:30 น. ทุกวัน
Wongnai Review : https://www.wongnai.com/restaurants/the-dukes-rimping
RELATED POSTS
-
ลุยกันเลยมั้ย? จะเป็นสายเนื้อ หรือสายหมู ร้านนี้สุดเด็ดเอาใจคนชอบปิ้งย่างที่ SORA Yakiniku กาดมณี
-
ร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางแหล่งท่องเที่ยว ผสานกับความอร่อยจากวัตถุดิบชั้นดี ลงตัวได้ที่ AIKU Japanese Bar & Restaurant
-
The Vintage Road ร้านอาหารฟิวชั่นในแบบไทยประยุกต์
-
สวรรค์ของคนรักสเต๊ก ย่างไฟจนหอมและฉ่ำ พร้อมเมนูยุโรปอีกหลากหลายจากเชฟฝีมือเด็ดที่ Medium Rare
-
กำเงิน 399 แต่มื้อนี้กินได้เป็นพัน บุฟเฟ่ต์อาหารทะเลที่ต้องยอมใจว่าอลังการที่สุดใน พ.ศ. นี้ที่ โจรสลัด ซีฟู๊ด บุฟเฟ่ต์
-
The Banyan Riverhouse Cafe เหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกย้อนอดีต นั่งชิลกับอาหารเครื่องดื่มในบ้านไม้สักริมน้ำปิง
-
จะมากินเอง หรือพาแขกมาเลี้ยงรับรองกับอาหารเมืองเหนือหลากหลายเมนู หรูหราแต่ราคาเข้าถึงไม่ยากได้ที่ ครัวพะยอม
COMMENT